กำไรปกติ 2Q67 อยู่ที่ 2.2 พันลบ. (+28% YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น แต่ -12% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล) สูงกว่าคาดเล็กน้อยจากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด ใน 3Q67TD เราคาดว่า SSS ในธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ของ CPAXT จะเติบโต 1% YoY ชะลอตัวลงจาก 2Q67 จากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยที่ซบเซาและฝนที่ตกหนัก แต่ยังดีกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน เราคาดว่ากำไร 3Q67 จะเติบโต YoY จากยอดขายและมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว/ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เราคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ CPAXT โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.0% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 39 บาท กำไรสุทธิ 2Q67 อยู่ที่ 2.2 พันลบ. +44% YoY แต่ -12%QoQ สูงกว่า INVX และ consensus คาด 4-7% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่าคาด เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษ (เทียบกับค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดจำนวน 185 ลบ. ใน 2Q66) กำไรปกติ 2Q67 จึงอยู่ที่ 2.2 พันลบ. เติบโต 28% YoY จากยอดขายที่ดีขึ้นและอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น (ทั้งธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C) และอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ลดลง (ธุรกิจ B2C) แต่ -12% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เงินปันผลงวด 1H67 อยู่ที่ 0.18 บาท/หุ้น (XD วันที่ 22 ส.ค.) ธุรกิจ B2B (ธุรกิจค้าส่ง; Makro) ใน 2Q67 กำไรปกติอยู่ที่ 939 ลบ. -14% YoY เพราะได้รับผลกระทบจาก: 1) ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นจากการโอนหนี้จาก Lotus’s ให้ Makro มากขึ้นหลังจากปรับโครงสร้างหนี้; 2) อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น (+90bps YoY) จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น (+16% YoY) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขา การปรับร้านเพื่อรองรับธุรกิจ O2O และการเปลี่ยนไปใช้ศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ (การเปลี่ยนผ่านจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2568) ปัจจัยเหล่านี้ไปหักล้าง: 1) ยอดขายที่เพิ่มขึ้น (+5% YoY) จากการขยายสาขา โดยมี NSA ที่ 0.91 ล้านตร.ม. (+6% YoY, +0.5% QoQ) ณ สิ้น 2Q67 และการเติบโตของ SSS ที่ 1.8% YoY; 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น (+90bps YoY) จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากร้าน Makro (+50bps YoY) จากอัตรากำไรขั้นต้นของสินค้าอาหารสดในประเทศไทยที่ดีขึ้น รวมถึงธุรกิจ Makro ต่างประเทศและธุรกิจ food service ที่ดีขึ้น และผลจากการปรับเปลี่ยนการรับรู้ทางบัญชี (+40bps YoY) ที่ธุรกิจ Makro ประเทศไทยมีการร่วมทำกิจกรรมกับคู่ค้าในการได้รับการสนับสนุนการให้คะแนนสะสมแก่ลูกค้าสมาชิก ทำให้การจัดประเภททางบัญชีเปลี่ยนแปลงจากการรับรู้รายได้ค่าบริการเป็นการลดต้นทุนขายสินค้า ธุรกิจ B2C (ธุรกิจค้าปลีก; Lotus’s) ใน 2Q67 กำไรปกติจากธุรกิจ B2C อยู่ที่ 1.2 พันลบ. +102% YoY โดยได้รับการสนับสนุนจาก: 1) ยอดขายที่สูงขึ้น (+4% YoY) จาก SSS ที่เติบโต 3.6% YoY ในประเทศไทย และ 3.1% YoY ในประเทศมาเลเซีย โดยมี NSA ที่ 1.8 ล้านตร.ม. (-1% YoY) และ NLA ถาวรที่ 1.1 ล้านตร.ม. (+3% YoY) ณ สิ้น 2Q67 และอัตราการเช่าพื้นที่ 93% (เทียบกับ 92-93% ในประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย ใน 2Q66); 2) อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจค้าปลีกที่กว้างขึ้น (+40bps YoY) โดยอัตรากำไรขั้นต้นจากประเทศไทยดีขึ้น (+50bps YoY; 84% ของยอดขาย) และอัตรากำไรขั้นต้นในประเทศมาเลเซียลดลงน้อยลง (-10bps YoY ใน 2Q67 จาก -200bps YoY ใน 1Q67; 16% ของยอดขาย) จากการมียอดขายอาหารสดที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้น; 3) อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ลดลง (-120bps YoY) เพราะค่าใช้จ่าย SG&A ลดลง (-3% YoY) จากต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง; 4) ดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงหลังจากโอนหนี้ให้ Makro หลังจากปรับโครงสร้างหนี้ การควบบริษัทคืบหน้าตามเป้า เมื่อวันที่ 8 ส.ค. คณะกรรมการ CPAXT ได้มีมติอนุมัติ: 1) การจัดประชุมผู้ถือหุ้นร่วมระหว่างผู้ถือหุ้นของ CPAXT และผู้ถือหุ้นของ Ek-Chai เพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการควบบริษัทในวันที่ 23 ก.ย. 2) การกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ ในวันที่ 24 ก.ย. ในการนี้ เพื่อเตรียมการเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้นของบริษัทใหม่ CPAXT จะขอหยุดพักการซื้อขายหุ้นของบริษัทเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 ก.ย. ถึงวันที่ 2 ต.ค. ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายของรัฐบาล และการแข่งขันในตลาด ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านแรงงาน/การจ้างงาน (S) | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก CPAXT_09082024_T
|