เราคาดว่า CPF จะรายงานขาดทุนปกติ 4 พันลบ. ใน 4Q66 อ่อนแอกว่ากำไรปกติ 1.2 พันลบ. ใน 4Q65 และขาดทุนปกติ 3.5 พันลบ. ใน 3Q66 โดยมีสาเหตุมาจากผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงของธุรกิจสุกรในไทย เวียดนาม และจีน ด้วยต้นทุนอาหารสัตว์ที่ลดลงท่ามกลางราคาผลิตภัณฑ์สุกรที่ฟื้นตัวอย่างช้าๆ QoQ ในประเทศหลักๆ ทุกประเทศใน 1Q67TD เราจึงคาดว่า CPF จะยังคงมีขาดทุนปกติต่อเนื่องใน 1Q67 โดยผลขาดทุนจะลดลง QoQ แต่จะค่อนข้างทรงตัว YoY เรายังคงเรทติ้ง NEUTRAL สำหรับ CPF โดยให้ราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อ้างอิงวิธี SOTP ที่ 22 บาท ซึ่งประกอบด้วย 1 บาทจากธุรกิจของ CPF (PE 12x สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์, 10x สำหรับธุรกิจฟาร์ม และ 14x สำหรับธุรกิจอาหาร) และ 21 บาทจากการถือหุ้นใน CPALL และ CPAXT คาดขาดทุนสุทธิ 2 พันลบ. ใน 4Q66 เทียบกับกำไรสุทธิ 1.8 พันลบ. ใน 4Q65 และขาดทุนสุทธิ 1.8 พันลบ. ใน 3Q66 หากไม่รวมกำไรพิเศษ 2 พันลบ. (กำไรจากการขายเงินลงทุนธุรกิจไก่ในจีน 3 พันลบ. และขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพในเวียดนาม 1 พันลบ.) CPF จะมีขาดทุนปกติ 4 พันลบ. ใน 4Q66 อ่อนแอกว่ากำไรปกติ 1.2 พันลบ. ใน 4Q65 และขาดทุนปกติ 3.5 พันลบ. ใน 3Q66 โดยมีสาเหตุมาจาก: 1) ราคาสุกรในไทย (66 บาท/กก., -35% YoY และ -3% QoQ) และเวียดนาม (VND47,700, -10% YoY และ -18% QoQ) ที่ลดลงเร็วกว่าต้นทุนอาหารสัตว์; 2) ขาดทุนจาก CTI ที่มากขึ้นจากการดำเนินงานที่อ่อนแอลงเพราะราคาสุกรในจีนลดลง (CNY15/กก., -38% YoY และ -7% QoQ) และขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ชีวภาพ; 3) ขาดทุนจากการดำเนินงานในสหรัฐฯ (ต้นทุนการผลิต ไม่สามารถถูกหักล้างจากราคาผลิตภัณฑ์ที่สูงขึ้นและการออกผลิตภัณฑ์ OEM ใหม่), อินเดีย (ราคาผลิตภัณฑ์ลดลงและต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น) และกัมพูชา (ราคาสุกรในประเทศลดลง ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากเนื้อสุกรนำเข้าผิดกฎหมาย) เนื่องจากเราคาดว่า CPF จะมีขาดทุนสุทธิในปี 2566 เราจึงไม่คิดว่าบริษัทจะมีการจ่ายเงินปันผล โดย CPF จะประกาศผลประกอบการในวันที่ 27 ก.พ. สถานการณ์ใน 1Q67TDราคาสัตว์บกในประเทศ ราคาสุกรและไก่เนื้อในประเทศอยู่ที่ 69 บาท/กก. (-22% YoY, +5% QoQ) และ 39 บาท/กก. (-3% YoY, +3% QoQ) CPF คาดว่าราคาสัตว์บกในประเทศจะทรงตัวอยู่ที่ระดับนี้ในระยะสั้นด้วยอุปสงค์ที่ดีขึ้นจากเทศกาลตรุษจีนในช่วงต้นเดือนก.พ. และจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงที่เหลือของปี 2567 ด้วยการปรับอุปทานที่ดีขึ้นจากการควบคุมเนื้อสุกรนำเข้าผิดกฎหมายที่ทำได้ดีขึ้น ท่ามกลางอุปทานสุกรในประเทศที่อยู่ในระดับสูงหลังจากสถานการณ์โรค ASF คลี่คลาย โดยคาดอยู่ที่ 18.5-19 ล้านตัวในปี 2567 (เทียบกับ 18 ล้านตัวในปี 2566) ความต้องการส่งออกไก่เนื้อไทยดูเหมือนจะอยู่ในระดับปานกลาง โดยผลกระทบจากความขัดแย้งในทะเลแดงนับถึงปัจจุบันยังมีจำกัด ต้นทุนอาหารสัตว์ ต้นทุนข้าวโพดในประเทศและกากถั่วเหลืองนำเข้าอยู่ที่ 10.1 บาท/กก. (-23% YoY, -3% QoQ จากสภาวะการเพาะปลูกที่ดีขึ้น) และ 22.8 บาท/กก. (-3% YoY, +4% QoQ โดยมีความกังวลใหม่เกี่ยวกับ สภาพอากาศในการเพาะปลูกในอเมริกาใต้) โดยในปี 2567 CPF ประเมินว่าต้นทุนอาหารสัตว์จะลดลง ~10% โดยเฉลี่ย ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนผลิตภัณฑ์ลดลง การดำเนินงานต่างประเทศ ใน 1Q67TD ราคาสุกรปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในเวียดนาม แต่ลดลงต่อในจีน ราคาสุกรในเวียดนามอยู่ที่ VND50,000/กก. ทรงตัว YoY แต่ +5% QoQ จากอุปทานที่ลดลง เนื่องจากโรค ASF เริ่มระบาดอีกครั้ง ประกอบกับอุปสงค์ที่ดีขึ้นก่อนเทศกาลตรุษจีน ในขณะที่ราคาสุกรในจีนอยู่ที่ CNY14/กก. -10% YoY และ -7% QoQ เนื่องจากอุปทานล้นตลาด ทั้งนี้ CPF ได้ขายธุรกิจสุกรที่สร้างผลขาดทุนในสหรัฐฯ ภายใต้ Hylife ในช่วงกลางปี 2566 และธุรกิจไก่เนื้อที่สร้างผลขาดทุนในจีนบางส่วนภายใต้ CPP HK ในเดือนธ.ค. 2566 โดยในปี 2567 เราประเมินว่ารายการเหล่านี้จะช่วยหนุนให้กำไรปกติของ CPF ปรับตัวดีขึ้นได้ราว 2.3 พันลบ. ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ อุปสงค์และราคาที่ลดลงจากเศรษฐกิจที่เปราะบางและอุปทานที่มากขึ้น และต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น ปัจจัยเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ของเสีย และน้ำ ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) นโยบายด้านสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค/พนักงาน (S) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก CPF240125_T
|