กำไรสุทธิ 4Q66 ของ LPN ลดลง 55.9% YoY และ 84% QoQ เพราะได้รับแรงกดดันจากอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนตัวลงและค่าใช้จ่าย SG&A ที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลทำให้กำไรสุทธิปี 2566 ลดลง 42.4% สำหรับปี 2567 LPN วางแผนระบายสต็อกคอนโดเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง ดังนั้นเราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2567 จะปรับตัวลดลง 9.3% เรายังคงคำแนะนำ tactical call สำหรับ LPN ไว้ที่ UNDERPERFORM โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 2.4 บาท/หุ้น อ้างอิง PE 10.5 เท่า กำไรสุทธิ 4Q66 ลดลงแรง YoY และ QoQ LPN รายงานกำไรสุทธิ 4Q66 จำนวน 17 ลบ. (-55.9% YoY และ -84% QoQ) ทำสถิติกำไรรายไตรมาสต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 90 ลบ. รายได้ลดลง 1.1% YoY และ 6.2% QoQ เนื่องจากมีการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงที่โครงการ ลุมพินี คอนโดทาวน์ เอกชัย 48 และไม่มีโครงการคอนโดสร้างเสร็จใหม่เริ่มโอน แรงกดดันยังคงเกิดจากอัตรากำไรขั้นต้นที่อ่อนตัวลง โดยอัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 18% ทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์จากการจัดโปรโมชั่นขายสินค้าคงเหลือ อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A /ยอดขายอยู่ที่ 18% สูงกว่าปกติที่ 14-15% เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากหนี้เสียในโครงการแนวราบและค่าใช้จ่ายการตลาดอื่นๆ ส่งผลทำให้กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 35- ลบ. (-42.4%) ต่ำกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ 27%ปี 2567 จะเน้นขายสินค้าคงเหลือและบริหารกระแสเงินสด ปัจจุบัน LPN มี backlog มูลค่า 2.3 พันลบ. โดย 56% หรือ 1.3 พันลบ. จะถูกรับรู้เป็นรายได้ในปี 256 ในขณะที่จะรับรู้รายได้จาก backlog ส่วนที่เหลืออีก 1 พันลบ. ในปี 2568-2569 คอนโด 2 โครงการมีกำหนดก่อสร้างเสร็จในปี 2567 คือ ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒน-ปากเกร็ด สเตชั่น (มูลค่าโครงการ 1.22 พันลบ. ขายได้แล้ว 11% และจะก่อสร้างเสร็จใน 2Q67) และ ลุมพินี วิลล์ จรัญ-ไฟฉาย (มูลค่าโครงการ 3.2 พันลบ. ขายได้แล้ว 35% และจะก่อสร้างเสร็จใน 4Q67) ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธ.ค. 2566 LPN มีสินค้าสร้างเสร็จคงเหลือและยูนิตที่ อยู่ระหว่างการก่อสร้าง (ทั้งคอนโดและโครงการแนวราบ) มูลค่า 3.55 หมื่นลบ. ดังนั้นเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่งในปี 2567 LPN จึงวางแผนขายสินค้าคงเหลือในราคาที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 น้อยกว่าปี 2566 ราว 40-50% ที่ 6.5 พันลบ.ปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นลดลง เนื่องจาก LPN มีนโยบายระบายสินค้าคงเหลือ โดยเฉพาะยูนิตที่สร้างเสร็จแล้วเกิน 3 ปี ในราคาทที่ต่ำลง เราจึงปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นปี 2567 ลดลงจาก 23.1% สู่ 21.1% ในขณะที่คาดว่ารายได้จะอยู่ในระดับทรงตัวที่ 7.3 พันลบ. ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิลดลง 37% จากประมาณการเดิมสู่ 320 ลบ. (-9.3%)ความกังวลและประเด็นที่ต้องติดตาม 1) การบริหารสินค้าคงเหลือ เนื่องจาก LPN มีคอนโดสร้างเสร็จคงเหลือมูลค่า 1.11 หมื่นลบ. (จะใช้เวลาระบายอย่างน้อย 2 ปี) บวกกับยูนิตที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างที่มีอัตราการขายต่ำ อุปทานจำนวนมากเช่นนี้จะสร้างแรงกดดันต่อกระแสเงินสด และ 2) อัตราการปฏิเสธสินเชื่อและการยกเลิกยังอยู่ในระดับสูงคงคำแนะนำ UNDERPERFORM, ปรับราคาเป้าหมายลดลงสู่ 2.40 บาท/หุ้น เรายังคงคำแนะนำ tactical call สำหรับ LPN ไว้ที่ UNDERPERFORM โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 2.4 บาท/หุ้น (ลดลงจาก 3.8 บาท/หุ้น) อ้างอิง PE 10.5 เท่า LPN ประกาศจ่ายเงินปันผลงวด 2H66 ที่อัตรา 0.05 บาท/หุ้น (XD วันที่ 28 ก.พ. 2567) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.3% | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก LPN240216_E 1
|