เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2566 ของ OSP จะเติบโต 25.8% สู่ 2.43 พันลบ. แม้ว่าผลกระทบจากการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษทั้งในต้นทุนขายและค่าใช้จ่าย SG&A ใน 4Q66 ทำให้เราคาดว่ากำไรสุทธิ 4Q66 จะลดลง 27.8% QoQ (เพิ่มขึ้น 37.9% YoY) สู่ 464 ลบ. ทั้งนี้หลังจากส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังลดลงในปี 2566 สืบเนื่องมาจากการแข่งขันที่สูงขึ้นและอุปสงค์ที่อ่อนตัวลง เราคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปี 2567 พร้อมกับประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุน เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ OSP โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 31 บาท/หุ้น กำไรสุทธิ 4Q66 จะได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายพิเศษ เราคาดว่า OSP จะรายงานกำไรสุทธิ 4Q66 จำนวน 464 ลบ. (เพิ่มขึ้น 37.9% YoY แต่ลดลง 27.8% QoQ) โดยอิงกับรายได้ที่ 6.5 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 1% YoY และ 3.5% QoQ) ทั้งนี้ใน 4Q66 แม้ยอดขายเครื่องดื่มในประเทศรวมทั้งหมดจะเติบโต QoQ แต่ส่วนแบ่งการตลาดเฉลี่ยลดลงเล็กน้อยจาก 46.5% ใน 3Q66 สู่ 46% ส่งผลทำให้ส่วนแบ่งการตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังโดยรวมในปี 2566 ของ OSP อยู่ในช่วง 46-47.5% ต่ำกว่าเป้าของบริษัทที่ 47-49% ในขณะที่ยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น QoQ โดยส่วนใหญ่เกิดจาก CLMV การปิดโรงงานผลิตขวดแก้วในสมุทรปราการใน 4Q66 จะทำให้ OSP ต้องบันทึกรายการพิเศษเป็น 2 รายการซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน 4Q66 คือ การรับรู้ต้นทุนขายเพิ่มเติม และค่าใช้จ่ายในการบริหารที่สูงขึ้นจากผลประโยชน์พนักงาน ดังนั้นเราจึงคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้น 4Q66 ที่ 35.2% ลดลงเล็กน้อย QoQ แต่เพิ่มขึ้น YoY หากไม่มีรายการดังกล่าว อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะเพิ่มขึ้น QoQ อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A ต่อยอดขายน่าจะเพิ่มขึ้นสู่ 27.1% สำหรับปี 2566 เราปรับประมาณการรายได้ลดลงเล็กน้อย 1% สู่ 2.6 หมื่นลบ. (-4.5%) ในขณะที่การรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษใน 4Q66 ทำให้เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลดลงจากประมาณการเดิมที่ 2.64 พันลบ. สู่ 2.43 พันลบ. (+25.8%) ปรับประมาณการปี 2567 ลดลง 5% เนื่องจากยอดขายเครื่องดื่มบำรุงกำลังฟื้นตัวช้าและส่วนแบ่งการตลาดยังอ่อนแอ เราจึงปรับประมาณการรายได้ปี 2567 ลดลง 5% สู่ 2.71 หมื่นลบ. (+4.4%) ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นน่าจะฟื้นตัวสู่ 34.8% เทียบกับระดับที่ประเมินได้ที่ 34.5% ในปี 2566 โดยได้รับการสนับสนุนจากต้นทุนอลูมิเนียม ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้าที่ลดลง ในขณะที่ต้นทุนน้ำตาลสูงขึ้น หากไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษใน SG&A เราคาดว่าประสิทธิภาพการผลิตที่ดีขึ้นโดยได้แรงหนุนจากนโยบาย “Fast Forward 10X” ของ OSP จะช่วยสนับสนุนให้กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.8% สู่ 2.6 พันลบ. ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล ปัจจัยที่ต้องจับตา คือ: 1) ความผันผวนของต้นทุนวัตถุดิบหลักๆ เช่น ก๊าซธรรมชาติ และค่าไฟฟ้า 2) ความผันผวนของปริมาณการขายในตลาด CLMV และนโยบายการเงิน และ 3) การฟื้นตัวของการบริโภค ESG: OSP ถูกจัดอยู่ในรายชื่อหุ้น SET ESG Ratings ที่ ระดับ “AA” บริษัทตั้งเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 30% ภายในปี 2573 และสานเป้าหมายระยะยาวมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 คงคำแนะนำ OUTPERFORM โดยปรับราคาเป้าหมายปี 2567 ลดลงสู่ 31 บาท/หุ้น เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไรสุทธิในปี 2566 ของ OSP ซึ่งจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 รวมถึงประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่ดีขึ้น ราคาหุ้น OSP ปรับตัวลดลง 10% ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา สะท้อนถึงการรับรู้ค่าใช้จ่ายพิเศษใน 4Q66 เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ OSP โดยปรับราคาเป้าหมายปี 2567 ลดลงสู่ 31 บาท/หุ้น (จาก 33 บาท/หุ้น) อ้างอิง PE เฉลี่ย 35 เท่า |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก OSP240129_T
|