แม้ว่าส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจ P&R* จะลดลง และมีผลกระทบเชิงลบจากราคา single gas pool >8 พันลบ. แต่เราประเมินได้ว่ากำไรสุทธิ 2Q67 ของ PTT (ประกาศ 9 ส.ค.) จะเพิ่มขึ้น 62% YoY และ 13% QoQ สู่ 3.26 หมื่นลบ. โดยได้แรงหนุนจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ต่ำกว่าใน 2Q66 และ 1Q67 ค่อนข้างมาก และกำไรพิเศษจากตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของบริษัทร่วม เราคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานจะลดลง QoQ เพราะกำไรจากธุรกิจก๊าซ ธุรกิจ P&R และธุรกิจน้ำมันจะลดลง แต่ธุรกิจ E&P จะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไร กำไรจะปรับตัวดีขึ้น QoQ ใน 3Q67 โดยได้แรงหนุนจากกำไรที่ฟื้นตัวดีขึ้นของธุรกิจ P&R สอดคล้องกับค่าการกลั่น แต่จะถูกลดทอนบางส่วนโดยกำไรที่ลดลงจากธุรกิจ E&P และธุรกิจก๊าซจากการหยุดซ่อมบำรุง ราคาหุ้น PTT ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำที่ PBV 0.8 เท่า (ปี 2567) และ P/E 8.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 1.3 เท่า และ 14.6 เท่า ตามลำดับ ดังนั้นเราจึงคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ PTT โดยให้ราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี sum-of-the-parts ที่ 45 บาท นอกจากนี้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 6.3% ก็ดูน่าสนใจด้วยเช่นกัน คาดกำไรจากธุรกิจก๊าซลดลง ปริมาณการขายก๊าซของ PTT คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.6% QoQ สู่ 4,837mmcfd โดยเกิดจากปริมาณการใช้ก๊าซที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า (+9.9% QoQ) เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าแห่งใหม่เริ่มเดินเครื่องในเดือนมี.ค. 2567 (Gulf PD Block 3) อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขายก๊าซจะลดลง YoY เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าพลังน้ำเข้ามาจ่ายกระแสไฟฟ้ามากขึ้น แม้ว่าโครงการ G1/61 (เอราวัณ) จะดำเนินการผลิตก๊าซที่ 800mmcfd ตามที่ระบุไว้ในสัญญา PSC เต็มไตรมาส แต่คาดว่าปริมาณก๊าซที่ขายให้กับโรงแยกก๊าซ (GSP) จะยังอยู่ในระดับทรงตัว QoQ จากการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนใน 2Q67 เราคาดว่า EBITDA จากธุรกิจก๊าซจะลดลง Q๐Q เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการปรับราคาก๊าซย้อนหลังเพื่อให้สอดคล้องกับราคา single gas pool ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2567 แต่ยังไม่มีเอกสารอย่างเป็นทางการออกมาจนกระทั่งเดือนพ.ค. 2567 นโยบาย single pool gas price จะทำให้ธุรกิจก๊าซมีต้นทุนเพิ่มขึ้น 1.3-1.4 พันลบ./เดือน หรือคิดเป็นภาระ 7.8-8.4 พันลบ. ใน 2Q67 แต่จะได้รับการชดเชยบางส่วนจากกำไรจากการขายหุ้น 50% ใน LNG Terminal 2 ให้กับ กฟผ. (~4-5 พันลบ.) กำไรจากธุรกิจ P&R และธุรกิจน้ำมันจะอ่อนตัวลง QoQ เพราะมาร์จิ้นแคบลง เราคาดว่า market GRM ที่ลดลง 53% QoQ จะส่งผลกระทบทำให้ส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงานที่ PTT ได้รับจากบริษัทร่วมในธุรกิจ P&R ลดลง 53% QoQ แม้ว่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจากกำไรจากสินค้าคงเหลือและตราสารอนุพันธ์เพื่อป้องกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน ขณะที่คาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจปิโตรเคมีจะปรับขึ้น QoQ จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ส่วนแบ่งกำไรน่าจะมีจำนวนน้อยมาก ปริมาณการขายของธุรกิจการตลาดน้ำมันผ่านทาง OR คาดว่าจะลดลง 7.6% YoY และ 1.5% QoQ ใน 2Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากความต้องการเดินทางในประเทศไทยที่ลดลงตามฤดูกาลและปริมาณการใช้น้ำมันดีเซลที่ลดลงในกลุ่มโรงไฟฟ้าเนื่องจากราคาก๊าซเริ่มกลับสู่ระดับปกติ เราคาดว่าขาดทุนจากสินค้าคงคงเหลือและการแข่งขันที่สูงขึ้นจะกดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นต่อลิตรปรับตัวลดลง 4% YoY และ 18% QoQ สู่ 0.92 บาท/ลิตร กำไรจากการดำเนินงาน 3Q67 จะอ่อนตัวลง QoQ เพราะกำไรจากธุรกิจ E&P จะลดลง แม้เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจ E&P จะยังคงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไรใน 3Q67 แต่คาดว่าการหยุดซ่อมบำรุงตามแผนจะกดดันให้กำไรของธุรกิจนี้ปรับตัวลดลงใน 3Q67 อีกทั้งยังจะส่งผลกระทบต่อการผลิตของ GSP ซึ่งจะเป็นตัวฉุดรั้งกำไรของธุรกิจก๊าซ แต่เรามองว่าจะได้รับการชดเชยบางส่วนจาก market GRM ที่สูงขึ้นของธุรกิจ P&R เนื่องจาก market GRM ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว 24% QTD สู่ US$4.3/bbl ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์พลังงานและปิโตรเคมีของ PTT ในขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจทำให้มีขาดทุนสต๊อกมากขึ้น ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ คือ การด้อยค่าของสินทรัพย์ ขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และรัฐบาลแทรกแซงธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก PTT240805_T
|