กำไรสุทธิ 4Q66 ของ SCGP ต่ำกว่า INVX คาด 15% และต่ำกว่า consensus คาด 13% หลักๆ เกิดจากค่าใช้จ่ายพิเศษ ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานใกล้เคียงกับที่เราคาด กำไรปกติปรับตัวลดลง โดยมีสาเหตุมาจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สายธุรกิจเยื่อและกระดาษและธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซียปรับตัวดีขึ้น QoQ ตามที่เราคาด เราคาดว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นใน 1Q67 โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 51 บาท อ้างอิง -0.5SD PE กำไรสุทธิ 4Q66 อยู่ที่ 1.21 พันลบ. -8.3% QoQ แต่ +110.1% YoY กำไรที่ลดลง QoQ ถูกฉุดรั้งโดยค่าใช้จ่ายพิเศษที่ไม่คาดคิด ได้แก่ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและ currency swap จากสัญญาป้องกันความเสี่ยงเงินกู้ยืมของ Fajar Paper ในประเทศอินโดนีเซีย ~100 ลบ. และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีที่เพิ่มขึ้น ~100 ลบ. อย่างไรก็ตาม หากตัดรายการพิเศษออกไป พบว่ากำไรจากการดำเนินงานใกล้เคียงกับที่เราคาด ผลการดำเนินงานของธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียและสายธุรกิจเยื่อและกระดาษปรับตัวดีขึ้น QoQ (จากกลับมาผลิตเต็มกำลังของโรงงานผลิตเยื่อกระดาษหลังจากหยุดซ่อมบำรุงใหญ่เป็นเวลา 2 สัปดาห์ใน 3Q66) ตามที่เราคาดการณ์ไว้ อีกทั้งยังได้รับปัจจัยหนุนจากราคาเยื่อใยสั้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก US$524/ตัน ใน 3Q66 สู่ US$625/ตัน ใน 4Q66 รายการที่สำคัญใน 4Q66 รายได้อยู่ที่ 3.19 หมื่นลบ. +1.0% QoQ หลักๆ เกิดจากรายได้จากสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรที่ดีขึ้น (+2% QoQ) อันเป็นผลมาจากรายได้จากบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์ (ได้แรงหนุนจากยอดขายกลุ่มพรีเมียม) และบรรจุภัณฑ์จากเยื่อและกระดาษ (ได้รับการสนับสนุนจากการเตรียมต้อนรับเทศกาลตรุษจีนในประเทศเวียดนามและการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในประเทศอินโดนีเซีย) ที่แข็งแกร่ง รวมถึงรายได้จากการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ดีขึ้น (ปริมาณการขายสูงขึ้น) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากต้องการจากประเทศจีน ทั้งนี้จีนนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์สูงถึง 850,000 ตันในเดือนพ.ย. 2566 สูงกว่าระดับเฉลี่ยก่อนเกิดโควิดที่ 800,000 ตัน/เดือน นอกจากนี้รายได้จากสายธุรกิจเยื่อและกระดาษก็ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย QoQ จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.9% (+10bps QoQ และ +319bps YoY) โดยเกิดจากอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ดีขึ้นและการควบคุมต้นทุนต้นทุนถ่านหินได้ดี เนื่องจาก SCGP ได้ทำการล็อกราคาและปริมาณถ่านหินสำหรับ 4Q66 ไว้ในช่วงที่ราคาถ่านหิน (ดัชนี ICI) อยู่ในระดับต่ำที่ US$70-75/ตัน (เทียบกับ US$80/ตันใน 4Q66 และ US$72/ตันใน 3Q66) พัฒนาการเชิงบวกใน 1Q67 ผู้บริหารคาดว่าราคาและปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์จะเติบโตต่อเนื่องใน 1Q67 เนื่องจากราคากระดาษบรรจุภัณฑ์ภายในประเทศจีนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการนำเข้ากระดาษบรรจุภัณฑ์ พัฒนาการเหล่านี้น่าจะส่งผลบวกต่อธุรกิจในอินโดนีเซีย โดยผู้บริหารคาดว่าธุรกิจในอินโดนีเซีย (Fajar Paper) จะถึงจุดคุ้มทุนในปี 2567 ทั้งนี้การฟื้นตัวของ ราคาขายเฉลี่ย (ASP) และปริมาณการขายโดยรวมของธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียน่าจะทำให้เกิด sentiment เชิงบวก กลยุทธ์และคำแนะนำ เราเชื่อว่าราคาหุ้น SCGP ที่ปรับตัวลดลงสะท้อนปัจจัยลบไปเรียบร้อยแล้ว เราคาดว่ากำไรปกติจะปรับตัวดีขึ้นใน 1Q67 ซึ่งจะช่วยจำกัด downside risk เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 51 บาท อ้างอิงระดับ -0.5SD historical PE mean ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าหลังเปิดประเทศ และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก SCGP240124_T
|