SPALI วางแผนธุรกิจปี 2567 ที่ค่อนข้างท้าทาย โดยตั้งเป้ายอด presales เติบโต 25% สู่ 3.6 หมื่นลบ. และเปิดโครงการใหม่เพิ่มขึ้น 69% สู่ 5 หมื่นลบ. ทำจุดสูงสุดใหม่ เราคาดว่ากำไรปี 2566 จะลดลง 28% โดยกำไร 4Q66 จะเพิ่มขึ้น QoQ แต่ลดลง YoY การเร่งเปิดโครงการใหม่และยอด presales ที่เติบโตสูงจะช่วยต่อยอด backlog ในอนาคตซึ่งปัจจุบันมีอยู่น้อยและไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการเติบโตในปี 2568-2569 เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ SPALI โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 23.80 บาท/หุ้น อ้างอิง PE เฉลี่ย (16 ปี) ที่ 6.9 เท่า ตั้งเป้ายอด presales เติบโตสูงและเร่งเปิดโครงการใหม่ในปี 2567 SPALI ตั้งเป้ายอด presales ปี 2567 ที่ 3.6 หมื่นลบ. (+25%) โดย 76% เป็นโครงการแนวราบ (มูลค่าเพิ่มขึ้น 37%) และ 24% เป็นคอนโด (มูลค่าลดลง 3%) บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2567 มูลค่ารวม 5.0 หมื่นลบ. (+69%) ทำจุดสูงสุดใหม่ โดย 87% เป็นโครงการแนวราบ (มูลค่าเพิ่มขึ้น 86%) และ 13% เป็นคอนโด 4 โครงการ (มูลค่าเพิ่มขึ้น 5%) การเลื่อนโครงการจากปีก่อน ~8.0 พันลบ. มาเปิดตัวใน 1Q67 จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการแนวราบสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.3 หมื่นลบ. ในด้านทำเลที่ตั้ง โครงการเปิดใหม่มูลค่าราวครึ่งหนึ่งจะอยู่ในกรุงเทพฯ และอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือจะอยู่ในจังหวัดอื่นๆ เราเชื่อว่าการเร่งเปิดโครงการใหม่มีเป้าหมายเพื่อสร้างยอดขายและต่อยอด backlog ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป กำไรสุทธิจะลดลงในปี 2566 และฟื้นตัวในปี 2567 ปัจจุบัน SPALI มี backlog มูลค่า 1.57 หมื่นลบ. โดย 86% จะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2567 และส่วนที่เหลืออีก 14% จะรับรู้เป็นรายได้ในปี 2568-2569 backlog ส่วนที่ใหญ่ที่สุดในปี 2567 จะมาจากโครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร ที่มี backlog จำนวน 2.7 พันลบ. ซึ่งจะเริ่มโอนตั้งแต่ 2Q67 เป็นต้นไป เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 4Q66 ของ SPALI ที่ 1.9 พันลบ. (-12.4% YoY แต่ +59.7% QoQ) ซึ่งบ่งชี้ว่ากำไรสุทธิปี 2566 จะลดลง 28% สู่ 5.8 พันลบ. เพราะได้รับแรงกดดันจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงอย่างมาก สำหรับปี 2567 เราคาดการณ์กำไรสุทธิที่ 6.69 พันลบ. (+14%) โดยอิงกับรายได้รวมที่ 3.34 หมื่นลบ. (+6%) และอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดว่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยโดยได้รับการสนับสนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งจากโครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร จะได้รับประโยชน์จากโครงการลงทุนใหม่ในออสเตรเลียอย่างเต็มที่ในปี 2568 การเข้าลงทุนในโครงการอีก 12 โครงการในออสเตรเลีย (JV ถือหุ้น 49.9%) มูลค่าการลงทุนรวม 1.26 หมื่นลบ. น่าจะแล้วเสร็จใน 1Q68 หลังจากชำระเงินสองครั้งใน 1Q67 และ 3Q67 เราคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกในปี 2568 ในขณะที่ SPALI อยู่ระหว่างการพิจารณาขอสินเชื่อใหม่ในสกุลเงินต่างประเทศเพื่อนำมาใช้สำหรับการลงทุนครั้งนี้บางส่วน ซึ่งอาจจะทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล ความเสี่ยงจากการดำเนินงาน: การเร่งเปิดโครงการใหม่และการลงทุนใหม่ในออสเตรเลียทำให้ต้องจับตาดูกระแสเงินสดและสถานะหนี้สินในปี 2567-2568 SPALI มีหุ้นกู้มูลค่า 1.5 หมื่นลบ. ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2566 ซึ่งอาจจะส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 2.8-2.9% ความเสี่ยงจาก ESG: แม้ SPALI ได้มีการขออนุญาต EIA (การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม) ก่อนการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังมีกรณีคดีฟ้องร้องเกิดขึ้นในคอนโดบางโครงการ ซึ่งเราประเมินว่าเป็นความเสี่ยง ESG ในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม (มีผลกระทบต่อชุมชนบริเวณใกล้เคียง) และธรรมาภิบาล คงคำแนะนำ NEUTRAL ด้วย backlog ระดับต่ำในปี 2567-2568 และกำไรที่อ่อนแอใน 1Q67 เราจึงคงคำแนะนำ tactical call สำหรับ SPALI ไว้ที่ NEUTRAL โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ 23.80 บาท/หุ้น อ้างอิง PE เฉลี่ย (16 ปี) ที่ 6.9 เท่า เราคาดการณ์เงินปันผลสำหรับงวด 2H66 ที่ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผล 1.8% |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก SPALI240126_T
|