รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตที่มีการเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 10 เม.ย. แสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายยังคงเป็นกลุ่มเดิม คือ ประชาชนสัญชาติไทย 50 ล้านคน (โดยมีเกณฑ์อายุ รายได้ และเงินฝาก) จะได้รับเงิน 10,000 บาท วงเงินรวม 5 แสนลบ. อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขการใช้จ่ายมีการปรับใหม่เป็นใช้จ่ายได้เฉพาะกับร้านค้าขนาดเล็กรวมถึงร้านสะดวกซื้อในพื้นที่ระดับอำเภอสำหรับการใช้จ่ายรอบแรก (ระหว่างประชาชนกับร้านค้า) และไม่จำกัดขนาดร้านค้าและพื้นที่สำหรับการใช้จ่ายรอบที่สอง (ระหว่างร้านค้ากับร้านค้า) โครงการนี้จะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ (โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4Q67 เป็นต้นไป CPALL CPAXT และ BJC เป็นหุ้นเด่นที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จากรายละเอียดที่มีการเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet เมื่อวันที่ 10 เม.ย. กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับเงินจากโครงการนี้ยังคงเป็นประชาชนสัญชาติไทยประมาณ 50 ล้านคน โดยมีเกณฑ์ได้แก่ อายุ 16 ปีขึ้นไป ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินโครงการ 5 แสนลบ. จะใช้แหล่งเงินจากงบประมาณปี 2567-2568 และงบประมาณปี 2568 ของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร การแจกเงินในโครงการนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ GDP ไทยขยายตัว 1.2-1.6% ทั้งนี้ ประชาชนและร้านค้าจะต้องลงทะเบียนและยืนยันตัวตนใน 3Q67 และเงินจะส่งตรงถึงประชาชนที่ได้รับสิทธิใน 4Q67 โดยมาตรการนี้จะนำเสนอต่อครม. ภายในเดือนเม.ย. เงื่อนไขการใช้จ่ายภายใต้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต การใช้จ่ายรอบแรกจะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กในพื้นที่ระดับอำเภอ (878 อำเภอ) ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับจากเริ่มต้นโครงการ โดยให้ใช้จ่ายเฉพาะกับร้านค้าขนาดเล็กภายใต้ระบบภาษีรวมถึงร้านสะดวกซื้อตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด เช่น ร้าน 7-Eleven และร้านสะดวกซื้อแบบ stand-alone ภายในสถานีบริการน้ำมัน แต่ไม่รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ การใช้จ่ายรอบที่สองจะเป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า โดยไม่จำกัดขนาดร้านค้าและพื้นที่ ทั้งนี้ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่จะสามารถถอนเงินได้เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่สองเป็นต้นไป สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการนี้ได้ ยกเว้นสินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และสินค้าออนไลน์ โครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะหนุนให้กำไรของกลุ่มพาณิชย์ (โดยเฉพาะผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น) ปรับตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 4Q67 เป็นต้นไป เราคาดว่าโครงการนี้จะส่งผลบวกโดยตรงต่อผู้ประกอบการค้าปลีกที่ขายสินค้าจำเป็นในร้านค้าขนาดเล็ก (พื้นที่ขายไม่เกิน 200 ตร.ม./สาขา) และมียอดขายบางส่วนมาจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม นำโดย CPALL (ยอดขาย 56% ในงบการเงินรวมมาจากร้านสะดวกซื้อที่บริษัทมีสาขาครอบคลุมทุกอำเภอในประเทศไทย และยอดขายจาก CPAXT ที่มาจากร้านค้าปลีกรายย่อยและร้านค้าส่งในธุรกิจ B2B และร้านค้าขนาดเล็กในธุรกิจ B2C) ตามด้วย CPAXT (ยอดขาย 24% ในงบการเงินรวมมาจากกลุ่มร้านค้าปลีกรายย่อย (ร้านขายของชำ ร้านโชห่วย) และร้านค้าส่ง (ร้านค้าส่งขนาดกลางและเล็ก) ในธุรกิจ B2B และร้านค้าขนาดเล็กในธุรกิจ B2C) และ BJC (ยอดขาย 20% ในงบการเงินรวมมาจากร้านค้าขนาดเล็กของ BigC B2B และร้าน “โดนใจ” ซึ่งเป็นร้านของผู้ค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่ซื้อสินค้าจาก BigC) นอกจากนี้เรายังคาดว่าผู้ประกอบการทุกรายในกลุ่มพาณิชย์จะได้รับผลบวกทางอ้อมจากกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้นและ sentiment ที่ดีขึ้น เนื่องจากยอดขายและกำไรจะปรับเพิ่มขึ้น (นำโดยผู้ประกอบการค้าปลีกสินค้าจำเป็น) ตั้งแต่ 4Q67 เป็นต้นไป เราจึงเลือก CPALL CPAXT และ BJC เป็นหุ้นเด่นที่จะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาล ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และแนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน (S) |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก COMMERCE240411_T
|