1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดลบ นักลงทุนกังวลแนวโน้มโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยน้อยลง
2. GDP สหรัฐฯไตรมาส 2/2025 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 3.8% จากการฟื้นตัวของภาคบริโภค
3. ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษียา 100% ใน 1 ต.ค. นี้ เว้นบริษัทที่เริ่มก่อสร้างโรงงานในสหรัฐฯ
4. Bond Yield จีนปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สัญญาณการย้ายเงินทุนจากพันธบัตรสู่หุ้นยังดำเนินต่อ
5. EU เตรียมขึ้น Tariffs 25-50% กับเหล็กและสินค้าที่เกี่ยวข้องจากจีน
6. นายกฯ ไทยแถลง ต้องการสร้างความเชื่อมั่นเพื่อสนับสนุนตลาดทุนไทย
Bites for Breakfast
By INVX Investment Products & Strategy
26 September 2025
1. ดัชนี Dow Jones, S&P 500 และ Nasdaq ปรับลดลงราว 0.4-0.5% หลังข้อมูล Initial jobless claims ลดลงและ GDP ไตรมาส 2 ถูกปรับเพิ่มขึ้น สร้างความไม่แน่นอนต่อแนวโน้มโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดโดย CME FedWatch Tool ชี้โอกาสลดดอกเบี้ยอีก 25 bps ในเดือนตุลาคมเหลือ 83.4% จาก 92% นักลงทุนรอข้อมูล PCE ซึ่งเป็นตัวชี้วัดสำคัญของ Fed
2. GDP สหรัฐฯ ในไตรมาส 2 ปี 2025 ถูกปรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเป็น 3.8% ซึ่งสูงกว่าทั้งประมาณการก่อนหน้าและคาดการณ์นักวิเคราะห์ที่ 3.3% ส่วนสำคัญของการปรับขึ้นมาจากการใช้จ่ายผู้บริโภคที่แข็งแกร่งโดย personal consumption expenditures ขยาย 2.5% จากประมาณการรอบก่อนได้ 1.6% และการลดลงของการนำเข้าหลังบริษัทต่างๆเร่งการนำเข้าในไตรมาสแรกเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีของทรัมป์
3. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ายารักษาโรค (pharmaceuticals) ที่มีเครื่องหมายการค้าหรือสิทธิบัตร (branded or patented) เป็น 100% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2025 ทั้งนี้บริษัทจะได้รับการยกเว้นภาษี หากมีการเริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตยาในสหรัฐฯ มาตรการนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดนโยบายภาษีใหม่ที่เข้มงวดต่อสินค้านำเข้าหลายประเภท เช่น รถบรรทุก อุปกรณ์การแพทย์ เครื่องเฟอร์นิเจอร์ เพื่อกระตุ้นการผลิตในประเทศและลดการพึ่งพาตลาดต่างชาติ ด้านนักวิเคราะห์ เตือนว่าต้นทุนค่ายาและอุปกรณ์การแพทย์จะปรับขึ้นทันที รวมถึงสร้างความเสี่ยงต่อห่วงโซ่อุปทานและการเข้าถึงยา ประชาชนอาจต้องเผชิญราคายาสูงขึ้นและเกิดปัญหากับโรคเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
4. สัญญาณเงินทุนจากพันธบัตรจีนหมุนเข้าสู่ตลาดหุ้นจีนอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนจีนโยกเงินเข้าลงทุนในหุ้นก่อนตลาดปิดสัปดาห์วันชาติ ชี้นักลงทุนยังคงมีความมั่นใจต่อตลาดหุ้นจีนเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่ PBOC ที่คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่ผ่านมา และรัฐบาลจีนที่ออกพันธบัตรเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ Yield ของพันธบัตร 10 ปี และ 30 ปี ของจีนปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ 1.92% และ 2.27% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์คาดว่า PBOC ยังคงมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อในช่วงไตรมาสที่ 4/2025 ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อ Bond Yield ในระยะถัดไปได้
5. หนังสือพิมพ์ Handelsblatt ของเยอรมนี รายงานว่า European Commission มีแผนจะประกาศขึ้น Tariffs ระหว่าง 25-50% สำหรับเหล็กและสินค้าที่เกี่ยวข้องจากจีนภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในยุโรปจากสินค้าราคาถูกที่เข้ามามาก ส่งผลให้ราคาและกำไรของโรงงานยุโรปลดลงอย่างรุนแรง และมีความเสี่ยงด้าน Supply Chain โดยประธานคณะกรรมาธิการ Ursula von der Leyen กล่าวเมื่อต้นเดือนนี้ว่า อียูจะเสนอวิธีการใหม่ในการจำกัดการนำเข้าเหล็ก เพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ เนื่องจากปัญหากำลังผลิตส่วนเกินทั่วโลกกำลังกดดันอัตรากำไร และทำให้อุตสาหกรรมเหล็กในยุโรปลงทุนในเทคโนโลยีลดคาร์บอนได้ยากขึ้น
6. นายกรัฐมนตรีไทยพร้อมคณะเข้าร่วมหารือกับ FETCO โดยมีมุมมองจะสนับสนุนตลาดทุนด้วยการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดทุน เสริมสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน พัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ให้กับตลาดทุน เพื่อทำให้ตลาดหลักทรัพย์ที่เป็นดัชนีชี้วัดความถึงความมั่งคั่งของประเทศให้ได้รับความเชื่อมั่นจากนักลงทุนไทย และต่างประเทศ โดยนายกฯ กล่าวว่า ตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ไปคู่กัน และคาดหวังว่าตลาดหุ้นไทยจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ผ่านการสร้างความเชื่อมั่น และอยากให้ภาครัฐสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อให้ทำกิจการได้สะดวกและสร้างผลกำไร ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนได้รับผลกำไรจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นได้
ประเด็นที่ต้องติดตาม: Core PCE Price Index ของสหรัฐฯ เดือน ส.ค. คาดการณ์ที่ 2.9% เท่ากับก่อนหน้า