ภาพรวมยังอ่อนแรง มีแนวโน้มทดสอบจุดต่ำเดิมด |
แนวโน้มตลาดวันนี้ |
SET ยังอ่อนแรง และปรับตัวลงได้ต่อ ด้วยแรงขายในหุ้นกลุ่มหลักอย่างพลังงานตามราคาน้ำมันปรับลง และกลุ่มธนาคารจาก Sentiment ลบ กังวลเสถียรภาพภาคธนาคารของสหรัฐ ด้านแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1532 และจุดต่ำเดิมบริเวณ 1520 จุด ที่มีโอกาสลงไปทดสอบ ด้านการฟื้นตัวถูกจำกัดที่แนวต้าน 1550-1560 จุด |
ประเด็นสำคัญ |
• ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐโดย CB ปรับลดลงสู่ระดับ 101.3 ในเดือน เม.ย. จากระดับ 104.0 ในเดือน มี.ค.• Alphabet Inc. และ Microsoft รายงานรายได้และกำไรออกมาสูงกว่าคาด• ส.อ.ท. รายงานยอดผลิตรถยนต์ มี.ค. ที่ 179,848 คัน +4.16%YoY โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดผลิตไว้ที่ 1.95 ล้านคัน และมีโอกาสขึ้นไปถึง 2 ล้านคันได้• สศค. ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้เหลือ +3.6%YoY จาก +3.8%YoY ภาคส่งออกคาดหดตัว -0.5% จากเดิมคาดขยายตัว +0.4% ผลจากความเสี่ยง ศก. และการค้าโลก• สสว. รายงานดัชนีเชื่อมั่น SME มี.ค. อยู่ที่ระดับ 54.9 เพิ่มต่อเนื่อง 3 เดือนติดต่อกัน หนุนจากภาคการผลิต ภาคการบริการ และภาคธุรกิจการเกษตร• ครม. เห็นชอบใช้งบกลาง 1 หมื่นลบ. ช่วยเหลือค่าไฟฟ้ากับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วย งวด พ.ค.-ส.ค. 66 และช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเฉพาะ พ.ค. กับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วย โดยจะเสนอ กกต. พิจารณาเห็นชอบต่อไป• ขนส่งฯ ระบุยอดจดทะเบียน EV เพิ่ม 1,500 คัน/เดือน โดย ม.ค.-มี.ค.66 สะสมรวม 61,594 คัน เป็น จยย. สูงสุด ตามด้วย รถยนต์ไม่เกิน 7 ที่นั่ง โดยมีหลากหลายแบรนด์ที่เริ่มส่งมอบรถ หลังงานมอเตอร์ เอ็กซ์โป เช่น Tesla BYD MG |
กลยุทธ์การลงทุน |
ช่วงสั้นมอง SET ยังมี Upside จำกัดและมีโอกาสอ่อนตัว เนื่องจากยังขาดปัจจัยหนุน และภาพรวมผลประกอบการ 1Q66 คาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยที่หุ้นเทคโนโลยีและธนาคารเล็กของสหรัฐ รวมทั้ง บจ. ไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด อีกทั้งมองนักลงทุนอยู่ระหว่างรอดูความชัดเจนทิศทางดอกเบี้ยจากการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 2-3 พ.ค. นี้ กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” |
ล็อคเป้าลงทุน |
Weekly Portfolio : มอง SET ขาดปัจจัยหนุน และภาพรวมผลประกอบการ 1Q66 คาดยังมีแนวโน้มอ่อนแอ โดยที่หุ้นเทคโนโลยีและธนาคารเล็กของสหรัฐ รวมทั้ง บจ. ไทยที่จะออกมาสัปดาห์นี้มีโอกาสแย่กว่าคาด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้1. หุ้น Best of the best ภายใต้วิกฤติการเงินในสหรัฐและยุโรป ซึ่งมีพื้นฐานและฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรในปี 2566-67 เติบโตเฉลี่ยสูงกว่ากำไรของกลุ่มหุ้นที่เราแนะนำ Outperform และ Valuation ไม่แพง โดยซื้อขายด้วย PER และ PBV เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่บริเวณ -1.0 ถึง -2.0 S.D. จึงมองเป็นโอกาสซื้อสะสม เลือก AU BBL BDMS CPALL GULF สำหรับนักลงทุนที่มีหุ้นอยู่แล้ว แนะนำ Let Profit Run2. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q66 จะออกมาตามตลาดคาด และจะเป็นจุดต่ำสุดของปีนี้ หรือ ผลการดำเนินงานมีสัญญาณฟื้นตัวใน 2Q66 เลือก HMPRO ADVANC KCE MINT AOT OSP3. หุ้นปันผลดี ซึ่งปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและราคาหุ้นยังมี Upside น่าสนใจเกิน 15% เลือก AP (XD 9 พ.ค. @0.65 บาท) และ LH (XD 8 พ.ค. @0.35 บาท) โดยคิดเป็น Div. Yield เกิน 3%ขณะที่มีกลุ่มหุ้นแนะนำ “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน” เนื่องจากผลการดำเนินงานยังไม่สดใส และมีความเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ NRF LPN MST SAWAD QH KTC PSH THRE TCAP MTC KEX KISS TU CBG GFPT BTG BTS BEM JASIF SAT IIG NER |
Daily Focus |
BDMS 1Q66 คาดกำไรปกติ 3.4 พันลบ. ลดลง 1%YoY แต่เพิ่มขึ้น 9%QoQ จากรายได้บริการผู้ป่วยชาวต่างชาติที่แข็งแกร่งขึ้น ขณะที่พัฒนาการในตลาดต่างประเทศใหม่ๆ คาดจะช่วยสนับสนุนให้กำไรเติบโตต่อเนื่อง โดยปี 2566 คาดกำไรเติบโต 12%YoY สู่ 1.4 หมื่นลบ.ADVANC 1Q66 คาดกำไรปกติ 6.6 พันลบ. ลดลง 2.3%QoQ แต่เพิ่มขึ้น 4.5%YoY ขณะที่ 2Q66 คาดกำไรจะเติบโต QoQ จากการแข่งขันในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่และธุรกิจ FBB ที่ลดน้อยลง รวมถึงรายได้บริการโรมมิ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นตามธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่ฟื้นตัว |
บทวิเคราะห์วันนี้ |
HMPRO – 1Q66: กำไรเป็นไปตามตลาดคาดSCGP – 1Q66: กำไรดีกว่า INVX และตลาดคาด |