สรุปสาระสำคัญ
วิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทย
เศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. ชะลอตัวต่อเนื่อง
Core PCE เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
สรุปวิกฤตการเมืองไทย เศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. ชะลอตัวต่อเนื่อง Core PCEเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเดือน ก.ค.
- วิกฤตการเมืองไทย: ทิศทางหลังศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนแพทองธาร และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ วิกฤตการเมืองไทยเข้าสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญหลังศาลรัฐธรรมนูญถอดถอนแพทองธาร ชินวัตร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเนื่องจากฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม ความไม่แน่นอนทางการเมืองนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายมิติ โดยพรรคประชาชนกลายเป็นตัวแปรสำคัญด้วยเงื่อนไข 3 ข้อคือ การยุบสภาภายใน 4 เดือน การจัดประชามติแก้รัฐธรรมนูญ และการไม่เข้าร่วมรัฐบาล ทิศทางการเมืองมีหลายสถานการณ์ที่ผลแตกต่างกันต่อไทม์ไลน์เลือกตั้ง งบประมาณปี 70 และเศรษฐกิจ โดยหากชัยเกษมเป็นนายกฯ จะเป็นเพียงรัฐบาลเตรียมการเลือกตั้ง และเสถียรภาพรัฐบาลจะต่ำ และจะมีเลือกตั้งเร็ว ขณะที่หากอนุทินเป็นนายกฯ จะเลือกตั้งเร็ว (4-6 เดือน) แต่เผชิญปัญหางบประมาณ 2570 ไม่ผ่านรัฐสภา ส่วนในเชิงเศรษฐกิจขึ้นอยู่กับว่าจะทำงานเชิงรุกและสานต่อนโยบายรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่ ขณะที่หากประยุทธ์เป็นนายกฯ จะเลือกตั้งช้า (8-12 เดือน) เพื่อรักษาเสถียรภาพและความต่อเนื่องงบประมาณ ส่วนการยุบสภาทันทีจะต้องเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน แต่อาจเผชิญข้อโต้แย้งทางกฎหมาย ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลให้นักลงทุนเฝ้าติดตามและอาจกระทบต่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น
- เศรษฐกิจไทยเดือน ก.ค. ชะลอตัวต่อเนื่อง เศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคมชะลอลงจากเดือนก่อนอย่างชัดเจน โดยภาคบริการลดลงจากการท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ถดถอย ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นและการหยุดผลิตรถยนต์ชั่วคราว การลงทุนภาคเอกชนลดลงจากหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ ส่วนการบริโภคภาคเอกชนแม้จะทรงตัวแต่ถูกกดดันจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงต่อเนื่อง การส่งออกเริ่มชะลอและการนำเข้าชะลอแรงขึ้น บ่งชี้แนวโน้มการส่งออกที่จะลดลงต่อไป ทำให้ InnovestX ประมาณการ GDP-Now เดือนกรกฎาคมเพียง 0.9%
- แนวโน้มเศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายหลายด้าน InnovestX คงประมาณการเศรษฐกิจปี 2025 ไว้ที่ 1.8% โดยคาดว่าไตรมาส 3 จะขยายตัวเพียง 1.0% และลดลงเหลือ 0.1% ในไตรมาส 4 เนื่องจากเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจทั้งการส่งออก การท่องเที่ยว และภาคเกษตรแผ่วลงพร้อมกัน ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยง 4 ด้านสำคัญคือ สัญญาณเศรษฐกิจชะลอที่เด่นชัดขึ้น ความผันผวนทางการเงินจากนโยบายสหรัฐที่คาดการณ์ยาก สินค้าคงคลังที่จะหดตัวในครึ่งปีหลัง และภาคเกษตรที่เสี่ยงจากราคาผันผวนและสงครามการค้า ขณะที่เงินเฟ้อยังคงต่ำกว่าเป้าหมายธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 0.25% ในปี 2025 และ 0.27% ในปี 2026 จากราคาน้ำมันที่ชะลอ ภาวะ La Nina และการส่งออกเงินฝืดจากจีน ทำให้มีโอกาสลดดอกเบี้ยในครึ่งปีหลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่การส่งออกการส่งออกปี 2026 คาดว่าจะหดตัวที่ -6.9% จากปี 2025 ที่ขยายตัว 5.0% ผลของมาตรการภาษีและ ผลกระทบของการ Frontloading โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
- การใช้จ่ายผู้บริโภคและเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในเดือน ก.ค. เป็นการใช้จ่ายผู้บริโภคสหรัฐฯ เดือนกรกฎาคมเติบโต 0.3% หลังปรับเงินเฟ้อ (0.5% ก่อนปรับ) มากที่สุดในรอบสี่เดือน ขณะที่ดัชนี PCE หลักพุ่ง 2.9% ต่อปี สูงสุดตั้งแต่กุมภาพันธ์ จากต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้นและผลกระทบภาษีนำเข้าทรัมป์ แม้ผู้บริโภคยังใช้จ่าย แต่ความเชื่อมั่นลดลงและคาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มเป็น 4.8% ในปีหน้า ประกอบกับตลาดแรงงานอ่อนแอ คาดว่าเงินเฟ้อจะยังคงสูงอีก 6-12 เดือน ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคอาจชะลอลงชัดเจนในช่วงปลายปี 2025 หากสถานการณ์แรงงานไม่ดีขึ้น ซึ่งจะเป็นความท้าทายต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ต้องเผชิญเงินเฟ้อสูงท่ามกลางการเติบโตที่ชะลอลง