Keyword
PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: เซอร์ไพรส์ Berkshire Hathaway จัดหุ้น UNH ฤา Healthcare จะมา? (18 - 22 August 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|15 Aug 25 2:30 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 18 - 22 สิงหาคม 2025

มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

ตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่ในโหมด Risk on โดยได้แรงหนุนจากความคาดหวัง Fed ลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. เราประเมินว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นมีโมเมนตัมหนุนต่อ สำหรับนักลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนอยู่แล้วแนะนำถือต่อ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจเกาะโมเมนตัมในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยปรับตัวลง ได้แก่ หุ้นขนาดเล็ก และหุ้น Growth ขณะที่มุมมองระยะยาวเรายังคงชื่นชอบหุ้น EM เช่น จีน เวียดนาม ด้านตลาดหุ้น DM เราชื่นชอบตลาดหุ้นยุโรปจาก Valuation ไม่แพงและคาดการเติบโตของ EPS จะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ตราสารหนี้

เรายังคงมุมมองว่าตราสารหนี้ที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี จะยังคงให้ผลตอบแทนต่อความเสี่ยงที่ดีกว่าตราสารหนี้อายุยาว หลังการประกาศตัวเลข PPI ของสหรัฐฯเดือน ก.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่ระดับ 0.9% MoM สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้มีโอกาสให้ Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างยากลำบากมากขึ้น โดย Bond Yield ของตราสารหนี้ระยะยาวยังคงมีแนวโน้มไม่แน่นอนจากปัจจัยดังกล่าว

 สินทรัพย์ทางเลือก

เราประเมินว่าราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ โดยมีแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง และความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed ในเดือน ก.ย. อย่างไรก็ตาม บรรยากาศการลงทุนที่อยู่ในโหมด Risk on ส่งผลให้ราคาทองคำจึงมีแนวโน้มแกว่งตัวออกข้างในระยะสั้น 
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ในการประชุมวันที่ 13 ส.ค. และท่าทีของผู้ว่าธปท. คนใหม่ที่มีทิศทางผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อได้

[Theme Play] 

Europe Equity:
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของยุโรปยังคงแสดงสัญญาณเชิงบวก โดยเฉพาะในภาคบริการที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ ได้แก่ นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายในกลุ่มประเทศยุโรปยังคงเพิ่มขึ้น รวมถึงแผนการกลับเข้ามาลงทุนในประเทศของบริษัทเยอรมนีมีแนวโน้มช่วยหนุนเศรษฐกิจในเยอรมนี ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นในระยะข้างหน้า หากพิจารณากำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้นักลงทุนกลับมาลงทุนในยุโรปมากยิ่งขึ้น

Gold:
ราคาทองคำเข้าสู่ไตรมาส 3 ซึ่งตามสถิติเป็นฤดูกาลที่ราคาทองมักปรับขึ้น ขณะที่แนวโน้มดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ยังอ่อนค่าจากคาดการณ์ Fed ลดดอกเบี้ย หนุนราคาทอง ด้านปัจจัยพื้นฐาน หนี้สาธารณะทั่วโลกยังสูง เสี่ยงต่อเสถียรภาพการเงิน ขณะที่กระแส De-dollarization เดินหน้าลดการถือครองดอลลาร์สหรัฐฯ และธนาคารกลางทั่วโลกยังมีแนวโน้มซื้อทองคำเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านเทคนิค ราคาทองอยู่ช่วงปลายของการพักฐานราว 3 เดือน เตรียม Breakout ขาขึ้น หลังทำ higher low และ higher high สอดคล้องกับพฤติกรรมราคาช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

China A-Shares:
หุ้นจีน A-Share ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังตัวเลขเศรษฐกิจของจีนยังแสดงให้เห็นถึงการขยายตัว โดย A-Shares ราคายัง Laggard เมื่อเทียบกับ H-Shares จึงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ส่งสัญญาณจีนเตรียมคุมสงครามราคา และแก้ปัญหาภาคอสังหาฯ เพื่อแก้ปัญหาเงินฝืดและฟื้นเศรษฐกิจ หนุน Sentiment หุ้นจีน ปัจจุบันดัชนี CSI 300 มี Valuation ไม่แพง และกำไรมีแนวโน้มฟื้นตัว นอกจากนี้ A-Shares มีความสัมพันธ์ต่อหุ้นโลกและหุ้นสหรัฐฯ ต่ำ สามารถใช้ในการกระจายความเสี่ยงออกจากหุ้นโลกได้


Vietnam Equity
: ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 3 ปี และเดินหน้าปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง หลังบรรลุดีลกับสหรัฐฯ แม้อัตราภาษีนำเข้าที่สหรัฐฯ เก็บจะสูงราว 20% แต่ก็ต่ำกว่าการประกาศครั้งแรกที่ 46% นอกจากนี้ รัฐบาลเวียดนามได้เดินหน้านโยบายปฏิรูปเชิงลึกผ่าน Resolution 68 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ยกระดับภาคเอกชนสู่แรงขับเคลื่อนหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจ และล่าสุดรัฐบาลเวียดนามปรับเพิ่มการขยายตัวของ GDP ปี 2025 ที่ 8.3-8.5% และตั้งเป้าหมายการเติบโตสูงกว่า 10% สำหรับปี 2026-2030 อีกทั้ง ตลาดหุ้นเวียดนามมีโอกาสถูกยกระดับสู่ FTSE Emerging market ในช่วงเดือนก.ย. เป็นอีกปัจจัยหนุนต่อตลาดหุ้นเวียดนาม แนะนำให้ทยอยลงทุนในหุ้นเวียดนาม
 
[Event Play]
 
TH REITs : REITs ไทยมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากแรงหนุนที่ ธปท. ส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาค 
อื่น ๆ ขณะเดียวกัน ดัชนี SETPREITs ส่งสัญญาณทางเทคนิคกลับตัว หลังราคาทะลุ Downtrend line และ sentiment ตลาดหุ้นไทยโดยรวมเริ่มฟื้น ชี้โอกาสลงทุนระยะสั้น

China Tech:
แนะนำลงทุนหุ้นเทคจีน โดยมองว่ารัฐบาลจีนจะยังคงใช้นโยบายสนับสนุนเศรษฐกิจต่อ นอกจากนี้การเข้ามาควบคุมการแข่งขันด้านราคามีโอกาสจะช่วยหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนในอุตสาหกรรมที่รัฐบาลเข้ามาดูแลให้เพิ่มขึ้นในระยะยาว เช่น EV พลังงานสะอาด และกลุ่มแพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นกลุ่มที่กองทุนลงทุน ด้านพื้นฐานมองว่า EPS Growth ในไตรมาสที่เหลือของปียังเติบโตในระดับสูง และโดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯขณะที่ Valuation ยังถูก (Forward P/E 16.6 เท่า vs ค่าเฉลี่ย 5 ปี ที่ 24)

Global Healthcare:
เราประเมินว่าราคาหุ้นในกลุ่ม Global Healthcare ได้ปรับตัวลงมาสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งจากประเด็นภาษียาและปัจจัยลบเฉพาะตัว ขณะเดียวกัน Valuation ในปัจจุบันอยู่ในโซน Deep Value โดยซื้อ-ขาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก (-2 S.D.) และผลประกอบไตรมาส 2 ของบริษัท Global Healthcare ที่ทยอยประกาศออกมา ส่วนใหญ่กำไรและรายได้สูงกว่าคาดการณ์ สะท้อนปัจจัยพื้นฐานยังดี รวมถึงสัญญาณในเชิงเทคนิค สะท้อนโอกาสในการฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป นอกจากนี้ กลุ่ม Healthcare ยังมีลักษณะเป็นหุ้นแนว Defensive ที่สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดี จึงมีโอกาสได้รับความสนใจจากการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะในช่วงที่ดัชนี S&P 500 เริ่มเข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5