Keyword
PDF Available  
เคาะซื้อ Weekly strategy

เคาะซื้อ Weekly Strategy: Fed ลดแล้ว ลดอยู่ ลดต่อ หนุนภาพรวมสินทรัพย์เสี่ยง (22 - 26 September 2025)

By ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ|19 Sep 25 2:30 PM
สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 22 - 26 กันยายน 2025
 
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์

ตราสารทุน

การปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของเฟดช่วยหนุน Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลก โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงมีโมเมนตัมต่อเนื่อง แต่ Valuation ที่อยู่ในระดับสูงทำให้ Upside ค่อนข้างจำกัด นักลงทุนจึงอาจพิจารณาธีม Catch-up Play ผ่าน S&P 500 Equal Weight ในขณะที่หุ้นยุโรปยังคงความน่าสนใจจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) ได้รับประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน หลังเฟดลดดอกเบี้ย เรายังคงชื่นชอบต่อหุ้นไทยจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และหุ้นจีนที่ภาพรวมยังเคลื่อนไหวอยู่ในทิศทางขาขึ้น และท่าทีของรัฐบาลจีนที่หันกลับมาสนับสนุนภาคธุรกิจ

ตราสารหนี้

เรามีมุมมองที่ระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ แม้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. นี้ แต่มีการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัว ปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันให้อัตราผลตอบแทน (Bond Yield) ของตราสารหนี้อายุยาวปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด ทั้งนี้อาจต้องติดตามความคืบหน้าของการใช้ Third Mandate อาจส่งผลบวกต่อ Bond Yield ตราสารหนี้ระยะยาวได้ โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด

 สินทรัพย์ทางเลือก

ทองคำในระยะสั้นมีแนวโน้มพักตัว จากที่ก่อนหน้าราคาปรับตัวขึ้นแรง เราประเมินว่าเป็นโอกาสสำหรับในการเข้าลงทุนสะสม เนื่องจากสภาวะการลงทุนยังเอื้ออำนวย เราคงเป้าหมายราคาที่ 3,875 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วง 6–12 เดือนข้างหน้า
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้

[Theme Play] 

Europe Equity:
เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค มีคาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 โดยคาดการณ์ CAGR ของ EPS ระหว่างปี 2025-2027 ของ STOXX 600 อยู่ที่ระดับราว 10.14% ใกล้เคียงกับ S&P500 ที่ระดับ 11.68% ในขณะที่ Forward PE ของ STOXX600 อยู่ที่ระดับราว 14.5 เท่า ต่ำกว่า S&P500 ที่ 22.6 เท่า อย่างมีนัยสำคัญ มีแนวโน้มให้ตลาดหุ้นยุโรปมีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นจากระดับ Valuation ที่ยังต่ำและกำไรบริษัทจดทะเบียนที่มีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น

Gold:
ราคาทองคำได้รับแรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มอ่อนค่า และเฟดกลับเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลงอีกครั้ง โดยการปรับลดดอกเบี้ยลงจะช่วยเพิ่มอุปสงค์ต่อ ETF ทองคำ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยบวกเพิ่มเติมต่อราคาทองคำ ขณะเดียวกัน หนี้สาธารณะทั่วโลกที่อยู่ในระดับสูงเพิ่มความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน กระแส De-dollarization ที่เร่งตัว และการเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลก ล้วนเป็นแรงสนับสนุนเชิงโครงสร้างต่อราคาทองคำ ในเชิงเทคนิค ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่และเบรคทะลุกรอบสะสม ทำให้เราประเมินว่าโมเมนตัมของราคาทองคำในระยะสั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง

China A-Shares:
หุ้นจีน A-Shares ยังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น แม้ระยะสั้นพักตัวอยู่บริเวณแนวต้านสำคัญที่ 4,500 จุด แต่ยังมีปัจจัยบวกสนับสนุนหลายด้าน ทั้งสภาพคล่องในระบบที่เพิ่มขึ้น การโยกย้ายเงินลงทุนของครัวเรือนเข้าสู่ตลาดหุ้น และนโยบายจากภาครัฐที่เดินหน้ากระตุ้นตลาดทุนอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และนักลงทุนยังจับตาการประชุม 4th Plenum ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
 
[Event Play]
 
TH Equity: ดัชนี SET Well-Being (SETWB) มีความน่าสนใจในระยะสั้น จากภาพการเมืองที่ชัดเจนขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ และความหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการ “คนละครึ่ง” และการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งหนุนโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มบริโภคและท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงถึง 59% ของดัชนี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังเอื้ออำนวย โดย SETWB ซื้อขายที่ P/E 12.7x ต่ำกว่า SET (16.1x) และภาพรวมประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2025 และ 2026 ทรงตัวไม่ถูกปรับลดลง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการที่มีมากขึ้น อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลกลับเข้าไทยจากดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าและทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจลดลง ด้านเทคนิค ดัชนีSETWB ทะลุเส้น Downtrend และ 50-SMA พร้อมแกว่งในกรอบขาขึ้น มองเป้าหมายที่ 658 จุด และมีจุด Stop loss ที่ 578 จุด โดยกองทุนแนะนำคือ กองทุน TISCOWB-A
 
TH REITs : REITs ไทยปรับตัวขึ้นแรง และโมเมนตัมแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. ส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย  อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย

Global Healthcare: Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett เข้าซื้อหุ้น UnitedHealth Group จำนวน 5 ล้านหุ้น มูลค่า 1.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในไตรมาส 2/2025 แม้บริษัทยังเผชิญความท้าทายด้านต้นทุนการแพทย์สูงและผลประกอบการต่ำกว่าคาด แต่การเข้าซื้อดังกล่าวช่วยหนุน Sentiment ต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare และเป็นแรงผลักดันสำคัญในระยะสั้น ขณะเดียวกัน Valuation ของกลุ่มยังอยู่ในระดับน่าสนใจหลังจากราคาปรับฐานลงมา อีกทั้ง ยังมีโอกาสได้รับแรงหนุนจากกระแสการสลับกลุ่มลงทุน (sector rotation) โดยเฉพาะเมื่อดัชนี S&P 500 เข้าสู่ระดับ Valuation ที่ตึงตัว
Author
DR RHATSARUN TANAPAISANKIT
ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ

Head of Investment Strategy & Trading Product Specialist

Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5