สรุปสาระสำคัญ
สรุปคำแนะนำการลงทุนประจำวันที่ 6 - 10 ตุลาคม 2025
มุมมองรายสินทรัพย์ประจำสัปดาห์
ตราสารทุน
สัปดาห์หน้า คาดว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในทิศทางเชิงบวก แม้เผชิญความไม่แน่นอนจาก Government Shutdown ที่อาจสร้างความผันผวนระยะสั้น โดยเรายังคงมองบวกต่อหุ้นกลุ่ม Healthcare จากความเสี่ยงภาษีนำเข้ายาที่คลี่คลาย หนุน Sentiment ฟื้นตัวต่อเนื่อง ในขณะที่หุ้นยุโรปยังน่าสนใจจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวหนุนการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในอนาคต ฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM) ได้รับประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน หลัง เฟดลดดอกเบี้ย เรายังคงชื่นชอบต่อหุ้นไทยจากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และหุ้นเทคโนโลยีจีนมีแนวโน้มได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น
ตราสารหนี้
เรามีมุมมองที่ระมัดระวังสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ แม้เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา แต่มีการปรับคาดการณ์เงินเฟ้อสหรัฐฯขึ้นพร้อมกับเศรษฐกิจที่ยังคงขยายตัว ปัจจัยเหล่านี้ยังคงกดดันให้อัตราผลตอบแทน (Bond Yield) ของตราสารหนี้อายุยาวปรับตัวลดลงได้อย่างจำกัด ทั้งนี้ อาจต้องติดตามความคืบหน้าของการใช้ Third Mandate อาจส่งผลบวกต่อ Bond Yield ตราสารหนี้ระยะยาวได้ โดยภาวะในปัจจุบันเราประเมินตราสารหนี้ระยะกลางที่มีอายุเป็น 3-5 ปี เป็นช่วงอายุที่มีความเหมาะสมที่สุด
สินทรัพย์ทางเลือก
ทองคำเดินหน้าสู่ราคาเป้าหมายที่ $3,875 ที่เราประเมินไว้ อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นเราประเมินว่าราคาทองคำที่ปรับตัวขึ้นมา ได้สะท้อนปัจจัยบวกไปมากแล้ว คาดว่าอาจมีการย่อตัวหรือชะลอการปรัวตัวขึ้นในระยะสั้น จึงแนะนำขายทำกำไรและรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อราคามีการย่อตัว ทั้งนี้ เรายังคงมุมมองเชิงบวกระยะยาวต่อทองคำ
ด้าน REITs ไทยมีแนวโน้มได้รับปัจจัยบวกจากการใช้นโยบายการเงินของ ธปท. ที่ผ่อนคลายเป็นปัจจัยหนุนที่ทำให้ REITs ไทยที่ยังคง Laggard เมื่อเทียบกับ SET Index มีความน่าสนใจ และดึงดูดเม็ดเงินของนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดได้
[Theme Play]
China Technology: หลังการปรากฏตัวของแจ็ค หม่า เป็นสัญญาณช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อหุ้นเทคโนโลยีจีนมากขึ้น ในขณะที่รัฐบาลจีนยังคงมีนโยบายสนับสนุนบริษัทเอกชนและเป็นมิตรกับบริษัทเทคโนโลยีจีน ประกอบกับการลงทุนด้าน AI ของบริษัทเทคโนโลยีจีนยังคงขยายตัว หนุนบริษัทในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง ด้าน Valuation ของกลุ่มเทคโนโลยีจีนยังคงใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราว 24 เท่า แต่ EPS Growth มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้ดีกว่าใน 1-2 ปีข้างหน้า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นจึงมีโอกาสให้หุ้นเทคโนโลยีของจีนสามารถซื้อขายบน PE ที่สูงกว่าได้
Europe Equity: เศรษฐกิจของยุโรปที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากการใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภายในภูมิภาค คาดว่าจะหนุนกำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี STOXX 600 ให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2026 และคาดการณ์ว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2027 ในขณะที่กลุ่ม Healthcare ของยุโรปฟื้นตัวได้ดีหลังบริษัทเอกชนบางรายสามารถหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษียาจากทรัมป์ได้ ส่งผลให้ STOXX 600 ปรับตัวเพิ่มขึ้นผ่านแนวต้านสำคัญบริเวณ 560 จุด ด้าน Forward PE ของ STOXX600 อยู่ที่ระดับราว 14.8 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 5 ปี หนุนให้ตลาดหุ้นยุโรปยังคงมี Upside อยู่
China A-Shares: หุ้นจีน A-Shares ปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุแนวต้านสำคัญบริเวณ 4,500 จุด ส่งสัญญาณเป็นขาขึ้นต่อ ได้แรงหนุนจากการประกาศตัวเลขกำไรภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตขึ้น ชี้การใช้นโยบาย Anti-involution ของรัฐบาลเริ่มส่งผล หนุนนักวิเคราะห์ปรับประมาณการณ์ EPS ของดัชนีให้เพิ่มขึ้น ด้าน PBOC ยังคงยืนยันใช้นโยบายสนับสนุนตลาดทุน เสริมสภาพคล่องในระบบให้เพิ่มขึ้น หนุนความเชื่อมั่นและบรรยากาศการลงทุนในหุ้นจีน ขณะเดียวกัน Valuation อยู่ในระดับไม่ตึงตัวมาก กำไรของบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และนักลงทุนยังจับตาการประชุม 4th Plenum ของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม ซึ่งอาจนำไปสู่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
[Event Play]
TH Equity: ดัชนี SET Well-Being (SETWB) มีความน่าสนใจในระยะสั้น จากแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างโครงการ “คนละครึ่งพลัส” และการส่งเสริมการท่องเที่ยวปลายปี ซึ่งหนุนโดยตรงต่อหุ้นกลุ่มบริโภคและท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนสูงถึง 59% ของดัชนี ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังเอื้ออำนวย โดย SETWB ซื้อขายที่ P/E 12.7x ต่ำกว่า SET (16.1x) และภาพรวมประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2025 และ 2026 ทรงตัวไม่ถูกปรับลดลง สะท้อนความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มผลประกอบการที่มีมากขึ้น อีกทั้ง Fund Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลเข้าหุ้นไทยจากดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าและทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่ลดลง อีกทั้ง รัฐบาลยืนยันพร้อมสนับสนุนตลาดทุน เพิ่มสภาพคล่อง–เสริมความเชื่อมั่น และพัฒนาเครื่องยนต์เศรษฐกิจยุคใหม่ให้กับตลาดทุน หนุนมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นไทย ด้านเทคนิค ดัชนีSETWB ทะลุเส้น Downtrend และแกว่งในกรอบขาขึ้นในระยะสั้น
TH REITs : REITs ไทยได้ปัจจัยสนับสนุนจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงของเฟด และจากแรงหนุนที่ ธปท. ส่งสัญญาณเข้าสู่วัฏจักรปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้ง หลังเศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะเงินฝืด โดยเงินเฟ้อต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย อีกทั้ง REITs ไทยมีส่วนต่างปันผลกับพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี (Dividend Yield Spread) พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.32% และอัตราปันผลเฉลี่ย 8.79% สูงกว่า REITs ภูมิภาคอื่นๆ เราประเมินว่าปัจจัยหนุนต่างๆ ที่กล่าวมาจะเอื้อต่อภาวการณ์ลงทุน REITs ไทย อีกทั้ง Sentiment ตลาดหุ้นไทยที่ดูดีขึ้น เป็นอีกแรงหนุนต่อ REITs ไทย
Global Healthcare: Sentiment ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ฟื้นตัวจากดีล Pfizer–Trump โดย Pfizer ยอมลดราคายาบางรายการในสหรัฐฯ สูงสุดถึง 85% และเปิดขายตรงผ่านเว็บไซต์ TrumpRx ของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาราคาถูกโดยตรง พร้อมประกาศลงทุนกว่า 70,000 ล้านดอลลาร์ ในการวิจัยและผลิตยาภายในประเทศ ดีลนี้ช่วยให้ Pfizer ได้รับ ยกเว้นภาษีนำเข้ายา 3 ปี หลีกเลี่ยงผลกระทบจากมาตรการ ภาษีนำเข้ายา 100% ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศมีผลวันที่ 1 ต.ค. และกลายเป็นต้นแบบให้บริษัทยารายใหญ่อื่น เช่น Eli Lilly และ Novo Nordisk เดินหน้าเจรจาตามข้อตกลงดังกล่าวส่งผลให้หุ้นกลุ่ม Healthcare ฟื้นตัวแรง สะท้อนการคลี่คลายความกังวลด้านนโยบายภาษีและการกำหนดราคายา ถือเป็นการ ปลดล็อกความเสี่ยงเชิงนโยบายสำคัญ ที่กดดันกลุ่มในช่วงที่ผ่านมา ความชัดเจนที่เพิ่มขึ้นทั้งด้านภาษีและราคา หนุน sentiment การลงทุนในระยะสั้นขณะเดียวกัน Valuation ของหุ้นกลุ่ม Healthcare ยังอยู่ในระดับ ถูก และมีโอกาสได้แรงหนุนจากกระแส sector rotation โดยเฉพาะเมื่อดัชนี S&P 500 เข้าสู่ระดับมูลค่าที่ตึงตัว