สรุปผลประกอบการกลุ่มเสื้อผ้าไตรมาสสอง
บทสรุป
ภาพรวมผลประกอบการกลุ่มเสื้อผ้าไตรมาส 2 บ่งชี้ว่า 1) รายได้และกำไรอ่อนแอลง 2) อัตรากำไรหดตัว 3) บริษัทมีมุมมองลบต่อภาษีนำเข้า
เราประเมินว่ากลุ่มเสื้อผ้ายังไม่น่าสนใจลงทุนในระยะนี้ โดยเราประเมินว่าแนวโน้มกำไรในครึ่งหลังของปีนี้จะยังถูกกดดันจาก
ต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงขึ้นหลังสินค้ากักตุนไว้ก่อนหน้าเพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าหมดลง
ภาษีนำเข้ากระทบกำลังซื้อผู้บริโภคให้อ่อนแอลง
ไม่สามารถขึ้นราคาเพื่อชดเชยต้นทุนที่สูงขึ้นได้ เนื่องจากผู้บริโภคอ่อนไหวต่อราคามากขึ้น
การแข่งขันทางด้านราคามีแนวโน้มสูงขึ้น เพื่อดึงดูดผู้บริโภค
เราแนะนำให้ชะลอการลงทุนและรอดูผลกระทบของภาษีนำเข้าให้มีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่าจะเป็นช่วงที่ผลประกอบการของกลุ่มนี้อยู่ในจุดต่ำสุด
ภาพรวมกลุ่มเสื้อผ้า และรายละเอียดผลประกอบการรายตัว
ผลประกอบการกลุ่มเสื้อผ้าไตรมาสสอง โดยรวมบ่งชี้ 1) รายได้และกำไรอ่อนแอลง 2) อัตรากำไรหดตัว 3) ภาษีนำเข้าเป็นอุปสรรคหลักในระยะข้างหน้า ซึ่งรายละเอียดผลประกอบการแต่ละบริษัทมีดังนี้
1.Inditex (เจ้าของ Zara, ITX.SM Equity) รายงานกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.8% YoY ต่ำกว่าคาด ในขณะที่กำไรจากการดำเนินงานลดลง 1% YoY ตามตลาดคาด ยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้น 2% YoY ต่ำกว่าที่ตลาดคาด ด้านอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงเล็กน้อย 3 bps และ 4 bps จากปีที่แล้ว ตามลำดับ ทั้งนี้ บริษัทมองว่าความผันผวนในอัตราแลกเปลี่ยนและภาษีนำเข้ารวมไปถึงการแข่งขันในตลาดค้าปลีกเสื้อผ้าสูงจะเป็นอุปสรรคหลักในระยะข้างหน้า
2.Fast Retailing (เจ้าของ Uniqlo, 9983.JT Equity) รายงานกำไรสุทธิลดลง 10% YoY ดีกว่าคาด ในขณะที่รายได้เติบโต 8% YoY ตามคาด โดยยอดขายในจีนแผ่นดินใหญ่ลดลงประมาณ 5% YoY กำไรจากการดำเนินงานในจีนลดลงประมาณ 3% YoY และคาดว่ายอดขายและกำไรในจีนไตรมาสหน้า จะยังลดลงต่อเนื่องจากอุปสงค์ที่ซบเซา ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าภาษีนำเข้าจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำไรอย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่า กำไรสุทธิจะลดลงรวมประมาณ 1% และกระทบต่อกำไรจากการดำเนินงานประมาณให้ลดลง 2-3% ในไตรมาสหน้า
3.Hennes & Manuritz (เจ้าของ H&M, HMB.SS Equity) รายงานกำไรสุทธิและรายได้ต่ำกว่าคาด โดยกำไรสุทธิและรายได้ลดลง 20% YoY, 5% YoY ตามลำดับ ด้านอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 56% เหลือ 55% และอัตรากำไรจากการดำเนินงานลดลงจาก 12% เหลือ 10% โดยมีสาเหตุจากอัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุนค่าขนส่งที่สูงขึ้น และการจัดโปรโมชั่น ทั้งนี้ บริษัทกำลังพิจารณาขึ้นราคาสินค้าเพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองของบริษัท