ตลาดน้ำมันจะเกินดุลสูงขึ้นในปี 2026 อุปทานเพิ่มขึ้นจาก OPEC+ และการผลิต Offshore
IEA มองตลาดน้ำมันโลกจะเกินดุลมากขึ้นในปี 2026 ถึงราว +4MBD (Figure 2) จากการผลิตน้ำมันดิบที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากทั้งฝั่ง OPEC+ ที่เพิ่มการผลิตคืนจากมาตรการลดการผลิตแบบสมัครใจ ระหว่าง เม.ย.-พ.ย. 2025 แล้วรวม +2.7MBD หรือราว 2.6% ของอุปสงค์โลก (Figure 3) และ non-OPEC+ โดยประเมินอุปทานโลกจะเติบโต +3MBD ในปี 2025 และ +2.4MBD ในปี 2026 ส่วนอุปสงค์โลกประเมินเติบโตชะลอลงเหลือ +700kBD ทั้งในปี 2025 และ 2026 ซึ่งมองว่าถูกกดดันตามเศรษฐกิจมหภาคและการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ไฟฟ้า ด้าน OPEC ยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดน้ำมันแตกต่างกับ IEA โดย OPEC ประเมินอุปสงค์น้ำมันโลกเติบโต +1.3MBD ในปีนี้และ +1.4MBD ในปีหน้า นำโดย จีน, อินเดีย และส่วนอื่นๆ ของเอเชีย ขณะที่ประเมินอุปทานจากฝั่ง non-OPEC+ จะเติบโตในอัตราที่ช้ากว่า
ราคาน้ำมันยังเผชิญแรงกดดันและความไม่แน่นอนจากอุปทานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง การผลิตจากฝั่ง OPEC+ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลังเริ่มกลับจากมาตรการลดการผลิตแบบสมัครใจ 1.66MBD ต่อเนื่องจากชุด 2.2MBD ครบแล้ว ส่วนฝั่ง non-OPEC+ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการผลิตน้ำมันนอกชายฝั่ง เช่น สหรัฐฯ, บราซิล, แคนาดา จากต้นทุนการผลิตที่มีแนวโน้มลดลงตามเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาขึ้นและการค้นพบแหล่งน้ำมันน้ำลึกใหม่จำนวนมาก (GlobalEnergyMonitor) และในรัฐบาลยุค ปธน. ทรัมป์ได้มีการส่งเสริมการพัฒนาในอ่าวเม็กซิโกผ่านการผ่อนคลายกฎระเบียบการขุดเจาะทางทะเล (Reuters) ขณะที่การผลิตน้ำมันหินดินดาน โดยเฉพาะในสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงตามราคาน้ำมันที่ปรับลงท่ามกลางต้นทุนที่สูงขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจ Dallas Fed ใน 3Q25 และอุปสงค์ใน 3Q25 ชะลอตัวตามฤดูกาล ท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ เช่น การปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยังคงดำเนินต่อ โดย รมต. คลังสหรัฐฯ เผยว่าเริ่มเห็นผลกระทบและประเมินว่ากระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ราว 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ (0.1% ของ GDP) และท่าทีของอินเดียที่จะลดการนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียซึ่งอาจหนุนราคาน้ำมันโลกปรับขึ้นจากการเข้ามาแย่งอุปทานในตลาดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทาน โดยในช่วงที่ผ่านมาคาดว่าอินเดียนำเข้า Heavy Crude จากตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น (Figure 4) ซึ่งหนุนราคาน้ำมันดูไบที่เริ่มมี Premium เทียบกับ Brent (Figure 5) ระมัดระวังการลงทุนในอุตฯ น้ำมันต้นน้ำ และสำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานน้ำมัน ทยอยสะสม PRM ซึ่งดำเนินธุรกิจส่วนใหญ่ในอาเซียนและระยะสั้นจะได้อานิสงส์ปริมาณการบริโภคน้ำมันเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล โดยเฉพาะการบริโภคน้ำมันอากาศยาน
ค่าการตลาดถูกกดดันจากการลดราคาขายปลีก มองกดดันค้าปลีกฯ ระยะสั้น เป็นโอกาสเข้าซื้อ
ค่าการตลาดเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ถูกกดดันระยะสั้นจากผลิตภัณฑ์เบนซิน (Figure 6) หลัง กบน. ประกาศลดราคาขายปลีกน้ำมันทุกชนิดลง 50 สต./ลิตร ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค. 2025 โดยลดราคาดีเซลลงผ่านการลดอัตราสมทบเข้ากองทุนน้ำมันฯ และขอความร่วมมือผู้ค้าลดราคาเบนซินทุกชนิด (ENC) และในวันที่ 20 ต.ค. กบน. สั่งลดราคาเบนซินและดีเซลอีก 30 และ 50 สต./ลิตร ตามนโยบาย Quick Big Win มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ต.ค. หลังราคาน้ำมันโลกมีแนวโน้มปรับลงต่อ (กรุงเทพธุรกิจ)
คงมีมุมมองบวกต่อธุรกิจค้าปลีกน้ำมันแม้ค่าการตลาดจะได้รับผลกระทบในระยะสั้น โดยคาดว่าค่าการตลาดจะสามารถฟื้นตัวสู่ระดับเดิมได้จากราคาหน้าโรงกลั่นที่จะปรับลงตามราคาน้ำมันโลก คล้ายกรณีดีเซลที่ราคาหน้าโรงกลั่นได้ปรับลงไปมากกว่า 50 สต./ลิตร หลังจากวันที่ 4 ต.ค. ทำให้ในวันที่ 16 ต.ค. กองทุนน้ำมันฯ สามารปรับเพิ่มการเก็บเงินสมทบในระดับเท่ากับอัตราการการลดในวันที่ 4 ต.ค. ได้ (Figure 7) และปริมาณการบริโภคน้ำมันที่จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในไตรมาส 4 (Figure 8) ขณะที่กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะแข็งแกร่งและยังมีเงินไหลเข้าเป็นบวก เชิงพื้นฐาน สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ แนะนำเก็งกำไร OR ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจ non-Oil ที่แข็งแกร่ง ช่วงก่อนราคาหุ้นที่ได้ปรับลงไปมองว่าได้สะท้อนแรงกดดันต่อค่าการตลาดไปแล้ว และคาดว่ามีแรงขายเพื่อเตรียมจองหุ้น IPO ATLAS ที่เปิดจองซื้อเมื่อวันที่ 7-10 ต.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบธุรกิจคล้ายกัน ติดตามความเสี่ยงการเกิดอุทกภัยซึ่งอาจกระทบปริมาณการเดินทาง
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+