
สหรัฐฯ คว่ำบาตรสองบริษัทน้ำมันใหญ่ของรัสเซีย สะเทือนห่วงโซ่อุปทานน้ำมันจีน-อินเดีย
รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อ 2 บริษัทน้ำมันขนาดใหญ่ของรัสเซีย Rosneft PJSC และ Lukoil PJSC เพื่อยกระดับการกดดันรัสเซียให้เร่งเจรจาสันติภาพกับยูเครน โดยอินเดียนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซียผ่านสองบริษัทข้างต้นรวม 1.06MBD หรือคิดเป็น 68% ของการนำเข้าจากรัสเซีย (Figure 2) หรือราว 25% ของการนำเข้าน้ำมันดิบทั้งหมด และจะมีความเสี่ยงเพิ่มเติมต่อการเข้าถึงระบบการเงินการธนาคารของตะวันตกหากยังคงนำเข้าน้ำมันดิบจากรัสเซีย ซึ่งจะให้โรงกลั่นไม่สามารถค้าขายกับประเทศที่พึ่งพาระบบการเงินดังกล่าวได้ (Bloomberg) ส่วน EU ได้ประกาศการคว่ำบาตรชุดใหม่ต่อโรงกลั่นจีนอีกสองแห่งหลังพบว่ายังคงมีการนำเข้าน้ำมันดิบอย่างต่อเนื่อง
ในระยะสั้นมองเป็น Sentiment เชิงบวกต่อราคาน้ำมันจากความกังวลการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทานน้ำมัน ซึ่งพบสัญญาณทางอ้อมผ่านราคาสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของอัตราค่าระวางเรือ Tanker ที่ใช้ขนส่งน้ำมันดิบทำระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2023 (Bloomberg) และโรงกลั่นอินเดียที่ปกติรับน้ำมันดิบชนิด Heavy Crude ต้องมองหาแหล่งนำเข้าแทนรัสเซีย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นตะวันออกกลาง ขณะที่คาดว่าจะมีแรงหนุนระยะสั้นจากอุปสงค์น้ำมันใน 4Q25 ที่จะฟื้นตัวตามฤดูกาลจากความต้องการเดินทาง มองกลุ่มโรงกลั่นมีความน่าสนใจมากกว่าจากระดับสต็อกที่อยู่ในระดับต่ำ (Figure 3) โรงกลั่นในหลายภูมิภาคอยู่ระหว่างการปิดซ่อมบำรุงหรือปรับกระบวนการผลิต และรัสเซียที่อาจพลิกเป็นผู้นำเข้าน้ำมันสำเร็จหลังถูกยูเครนโจมตีต่อเนื่อง เชิงกลยุทธ์ สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เก็งกำไรระยะสั้น TOP ที่มีสัดส่วนน้ำมันอากาศยานสูงซึ่งมีส่วนต่างราคาที่แข็งแกร่ง และเชิงพื้นฐาน สะสม BCP ที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูงและจะได้ประโยชน์จากราคาก๊าซฯ ยุโรปที่ปรับขึ้นผ่านการลงทุนธุรกิจก๊าซฯ ในนอร์เวย์ และมี Upside Risk จากการพบกันระหว่าง ปธน. สหรัฐฯ และผู้นำประเทศต่างๆ หากมีพัฒนาการทางบวกอาจสร้าง Sentiment เชิงบวกหนุนตลาดน้ำมัน แต่เชิงพื้นฐานตลาดน้ำมันคงมีแรงกดดันจากอุปทานที่ขยายตัวเร็วกว่าอุปสงค์ (Figure 4) จากกลุ่ม OPEC+ ที่มีแนวโน้มจะทยอยเพิ่มการผลิต ขณะที่อุปสงค์ยังไม่เห็นสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันดิบของจีนที่เริ่มชะลอใน ก.ย. 2568 (Figure 5) และมีความเสี่ยงจากท่าทีของ OPEC+ ที่อาจปรับเปลี่ยนการผลิตระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อชดเชยส่วนของรัสเซีย ในกรณีดังกล่าว Goldman Sachs ประเมินราคาน้ำมันดิบ Brent อาจทำระดับสูงสุดแตะ US$/70/bbl และราคาเฉลี่ยในปี 2026 ที่ US$63/bbl
EU คว่ำบาตร LNG รัสเซีย ซ้ำเติมยุโรปเข้าสู่ฤดูหนาว-อุปทานทรงตัว แค่คงมองบวกต่อ SPP
ประเทศใน EU มีข้อตกลงร่วมกันจะยกระดับการคว่ำบาตรรัสเซียโดยจะระงับการนำเข้า LNG รวมถึงการคว่ำบาตรกว่า 45 บริษัทที่มีส่วนช่วยรัสเซียหลีกเลี่ยงการคว่ำบาตรในช่วงก่อน โดย EU ตั้งเป้าจะยุติการนำเข้า LNG ทั้งหมดภายในปี 2026 หลังซึ่งเป็นช่วงที่จะสิ้นสุดสัญญาณซื้อขายระยะยาว (Bloomberg) ปัจจุบัน EU นำเข้าก๊าซฯ จากรัสเซียเพียง 13% ของการนำเข้าทั้งหมด ลดลงจาก 18% ในปี 2024 และจาก 45% ในช่วงก่อนเกิดสงครามยูเครนในปี 2022 (Figure 6)
ในระยะสั้นมองเป็น Sentiment เชิงบวกระยะสั้นต่อราคาก๊าซฯ ยุโรปจากประเด็นดังกล่าวจะกระทบอุปทานก๊าซฯ ยุโรป ขณะที่การเพิ่มขึ้นของระดับก๊าซฯ สำรองยุโรปเริ่มชะลอลงและทรงตัวที่ 83% ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่ 90% (Figure 7) และยุโรปเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว และมี Upside Risk หากจีนกลับมานำเข้า LNG จากสหรัฐฯ ในระยะสั้นหลังราคาก๊าซฯ ในประเทศจีนเริ่มปรับขึ้นหลังเผชิญอากาศหนาวขึ้น (Platts) ประกอบกับปรากฎการณ์ La Nina ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้หนุน (NOAA) แต่คงมองธุรกิจโรงไฟฟ้าคงมีความน่าสนใจจากอุปทาน LNG สหรัฐฯ ที่จะเข้าสู่ตลาดมากขึ้นซึ่งจะช่วยผ่อนคลายราคาก๊าซฯ ยุโรปและ LNG ได้ในระยะต่อไป ขณะที่จีนมีแนวโน้มจะคงนำเข้าก๊าซฯ ผ่านท่อจากรัสเซียมากกว่า แนะนำรอจังหวะเก็งกำไรโรงไฟฟ้า SPP หนุนจากต้นทุน Pool Gas ที่คงมีแนวโน้มลดลง (Figure 8) และการเดินหน้าโครงการนำร่อง Direct PPA จำนวน 2,000MW เชิงกลยุทธ์ เข้าซื้อ BGRIM และ GPSC เมื่อราคาอ่อนตัวหากราคาก๊าซฯ ยุโรปมีการปรับขึ้น และเชิงพื้นฐาน ทยอยสะสม GULF ที่มีการกระจายความเสี่ยงเชิงธุรกิจสูงและมีศักยภาพในการขยายกำลังการผลิตสูง และคงมองบวก BCPG จากความต้องการไฟฟ้าสหรัฐฯ ที่เติบโต
ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ผันผวน, สถานการณ์ในตะวันออกกลาง, การเมืองในประเทศ, นโยบายพลังงานสหรัฐฯ และไทย, รัสเซีย-ยูเครน, นโยบายการผลิตของ OPEC+