บทสรุป
ตลาดหุ้นทั่วโลกทรงตัว โดยตลาดในหลายประเทศยังคงปิดทำการเนื่องในเทศกาลหยุดยาวตรุษจีน ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯและยุโรปค่อนข้างทรงตัวหลังหลายบริษัทเผยผลประกอบการในทิศทางผสม ซึ่งหากตัดความคาดหวังในตลาดออก เรามองว่าผลประกอบการที่ออกมาค่อนข้างมีทิศทางชะลอตัวและถือได้ว่าเป็น Earnings Recession
กระแสเงินในวันที่ 23 ม.ค. 2023 1) กระแสเงินไหลเข้าตราสารหนี้ต่อเนื่อง โดยมองว่าเป็นภาพความกังวลกับการเติบโตของเศรษฐกิจและเริ่มเห็นการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรหลังเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลง แต่เน้นไปที่ตราสารหนี้คุณภาพดีและพันธบัตรรัฐบาล 2) มีแรงซื้อในตลาดยุโรปต่อเนื่องมองว่าเป็นประเด็นการคลายความกังวลเรื่อง ศก ถดถอยในยุโรป และมีแรงซื้อในตลาดจีนที่ได้ประโยชน์จาการเปิดประเทศ 3) มีเงินไหลออกจากหุ้นธีม Growth ทั้งนี้มองว่าเป็นเรื่องแนวโน้มการเติบโตที่ชะลอตัวลง 4) เริ่มเห็นแรงขายในหุ้นกลุ่มเชิงรับอย่าง Healthcare และ Consumer Staples จากความคาดหวังของนักลงทุนในช่วงตลาดฟื้นตัว
Russia-Ukraine ไม่มีพัฒนาการเชิงบวก ด้านราคาถ่านหินในยุโรปปรับตัวลดลง 6.2% และราคาก๊าซธรรมชาติลดลง 8% ส่วน Credit Spread ของ IG ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1bps ส่วน HY ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4bps นอกจากนั้น Credit Default Swap ของ IG และ HY ปรับลดลง 0.5% มองว่าความเสี่ยงด้าน Credit ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ขณะที่หุ้น Reopening ของจีนนับตั้งแต่ต้นปี 2023 เพิ่มขึ้น 7-8% นอกจากนั้นยังเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดเดือน พ.ย. 2022 กว่า 50% บ่งชี้ว่าข่าวดีได้สะท้อนไปในราคาแล้วระดับหนึ่ง นักลงทุนที่พลาดรอบการฟื้นตัวอาจจะต้องมีการจัดการความเสี่ยง โดยเราแนะนำกลุ่มที่ยังไม่ถึงระดับ Pre-COVID อย่าง Beijing Capital International Airport, Shanghai International Airport, Sands China
ด้าน Johnson & Johnson เผยงบ 4Q22 โดยกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 10%YoY ดีกว่าตลาดคาดอยู่ที่ 2.35$ ต่อหุ้น อย่างไรก็ดียอดขายผิดคาด โดยลดลง 4.4%YoY อยู่ที่ $23.7bn หลังได้รับผลกระทบจากค่าเงินดอลฯที่แข็งค่าและยอดขายวัคซีนโควิด-19 ที่ลดลงขณะที่ยอดขายจากกลุ่มยา FY22 เพิ่มขึ้น 2.3% แต่หากไม่รวมยอดขายวัคซีนโควิด-19 จะเพิ่มขึ้น 4.3%YoY
Microsoft เผยงบ 2Q23 โดยกำไรต่อหุ้นดีกว่าคาดอยู่ที่ $2.32 ต่อหุ้น ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น 2%YoY อยู่ที่ $52.7bn ต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อย โดยได้รับแรงหนุนจากส่วนธุรกิจบริการคลาวด์ Azure ที่ถึงแม้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบชะลอตัวที่ 38%YoY (ไตรมาสก่อนโต 42%YoY) อย่างไรก็ดีรายได้จากระบบปฏิบัติการ Windows ลดลงกว่า 39% ด้านซอฟต์แวร์ Office ลดลงเช่นกัน
Texas Instruments เผยงบ 4Q22 โดยรายได้ลดลง 3.4% อยู่ที่ $4.7bn นับเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่ FY20 โดยสิ่งที่เราเห็นคือ 1) แม้ว่าผลประกอบการไม่ดีแต่ไม่มีการลดการจ้างงาน มีการปรับโครงสร้างก่อนโควิด-19 2) ชิปบริษัทไม่ได้ประสิทธิภาพสูงจึงทำให้กำไรออกมาดีกว่าบริษัทชิปชั้นสูงอย่าง Intel NVDA ซึ่งส่งผลให้บริษัทยังคงจ่ายปันผลและทำการซื้อหุ้นคืนได้ 3) ความต้องการชิปไม่ได้ฟื้นตัวเร็ว โดยมีเพียงในอุตฯรถเท่านั้นที่มีรายได้เพิ่ม อย่างไรก็ดีมองเป็นเรื่อง Timing ที่ชะลอตัวช้ากว่า 4) อุตฯยังคงมีปัญหาเรื่องสินค้าคงคลังตั้งแต่ปลาย 3Q22 ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วจะใช้เวลา 4-5 ไตรมาสถึงจะกลับมาสู่ระดับปกติ ซึ่งหมายความว่าจุดต่ำสุดจะอยู่ในช่วงกลางปี 23
ขณะที่สิ่งที่เราเห็นเหมือนกันจากงบ Microsoft และ Texas Instruments คือรายได้ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่เน้น PC เป็นหลัก (เช่น Window, Office365) ปรับตัวลง สะท้อนอุปสงค์ที่ยังอ่อนแอ ซึ่งเป็นภาพเดียวกันกับการจัดส่งคอมพิวเตอร์ PC ทั่วโลกที่ลดลง29% ใน 4Q22 ทำให้เรามองว่ากลุ่มนี้ยังคงมีแรงกดดันจากผลประกอบการที่ชะลอตัว และคาดจะฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งปีหลัง 23 หลังสินค้าคงคลังลดและอุปสงค์กลับสู่ระดับปกติ โดยมองจังหวะซื้อเป็นช่วง 2Q23-3Q23