เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 2Q67 ที่ 3.8 พันลบ. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 56.6% QoQ จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมิคอลส์เพราะส่วนต่างราคา HDPE/PP กว้างขึ้น แต่จะถูกลดทอนลงบางส่วนโดยผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลงของธุรกิจซีเมนต์จากผลกระทบทางฤดูกาล ในขณที่เราคาดว่ากำไรสุทธิ 2Q67 จะลดลง 53% YoY จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่อ่อนแอลงและความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ที่ลดลง เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลดลง 60% และปี 2568 ลดลง 27% เพื่อสะท้อนส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ต่ำกว่าคาด เราคาดว่ากำไรจะชะลอตัวลงใน 2H67 จากค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นหลังการเปิดดำเนินงานเชิงพาณิชย์ (COD) โรงงาน LSP ดังนั้นเราจึงปรับลดคำแนะนำระยะ 3 เดือนสำหรับ SCC ลงจาก OUTPERFORM สู่ NEUTRAL โดยปรับราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี SOTP ใหม่เป็น 260 บาท (จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 325 บาท) คาดกำไรสุทธิ 2Q67 ปรับตัวดีขึ้น QoQ แต่ลดลง YoY เราคาดว่า SCC จะรายงานกำไรสุทธิ 3.8 พันลบ. ใน 2Q67 เพิ่มขึ้น 56.6% QoQ แต่ลดลง 53.0% YoY โดยกำไรสุทธิ 2Q67 ที่เพิ่มขึ้น QoQ หลักๆ จะได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมิคอลส์ โดยส่วนต่างราคา HDPE/PP กว้างขึ้น 2.8% และ 2.5% QoQ ใน 2Q67 ตามลำดับ และการดำเนินงานเต็มไตรมาสของโรงงานระยองโอเลฟินส์คอมเพล็กซ์ (ROC) หลังจากกลับมาเดินเครื่องในเดือนมี.ค. 2567 นอกจากนี้ SCC ยังจะได้รับเงินปันผลจาก Toyota Thailand (SCC ถือหุ้น 10%) ซึ่งการจ่ายเงินปันผลในไตรมาสนี้อิงกับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน 2H66 แต่จะถูกลดทอนลงบางส่วนโดยผลการดำเนินงานของธุรกิจ CBM ที่อ่อนแอลงตามฤดูกาล QoQ เนื่องจากกิจกรรมลดลงในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ในขณะที่กำไรสุทธิที่ลดลง YoY สะท้อนถึงส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลงและความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนระดับสูง รายการพิเศษใน 2Q67 คือ ขาดทุนจากสินค้าคงคลังจำนวน 230 ลบ. และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ C9+ ที่เสียหายในช่วงที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ถังเก็บสารเคมีของมาบตาพุด แท็งค์ เทอร์มินอล จำนวน 250 ลบ. รวมถึงค่าใช้จ่าย CSR จำนวน 250 ลบ. (ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะสามารถเคลมประกันและกลับรายการได้) แนวโน้มกำไร 2H67 ชะลอตัวลง เราคาดว่ากำไรปกติของ SCC จะชะลอตัวลงใน 2H67 หลักๆ เกิดจาก: 1) ส่วนต่างราคา HDPE และ PP ที่ลดลง โดยลดลง 12% QoQ และ 7% QoQ ใน 3Q67TD แต่จะได้รับการชดเชยบางส่วนโดยส่วนต่างราคา LDPE ที่ปรับตัวขึ้นแรง 20% ใน 3Q67TD สู่ระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี และ 2) การเริ่มบันทึกค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายจำนวน 1.2 พันลบ./ไตรมาส จากการเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของ upstream plant ของโครงการ Long Son petrochemical complex ในประเทศเวียดนาม ตั้งแต่เดือนก.ย. 2567 เราคาดว่าธุรกิจ CBM จะเผชิญกับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ระดับต่ำตามฤดูกาลในฤดูฝนใน 3Q67 และวันหยุดยาวใน 4Q67 สำหรับระยะกลางถึงระยะยาว เราคาดว่าส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์จะฟื้นตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยเฉพาะส่วนต่างราคา HDPE จากอัตราการเติบโตที่ลดลงของอุปทานใหม่ SCGC คาดว่าอุปทานเอทิลีนทั่วโลก (สำหรับภาคก่อสร้าง) จะเติบโต 2.4-2.6% ต่อปี ในปี 2567-2569 เทียบกับ 5% ต่อปีในปี 2563-2566 ปรับประมาณการกำไรปี 2567-2568 ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวช้ากว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้านี้ โดยมีปัจจัยใหม่เกี่ยวกับอัตราค่าระวางที่สูงขึ้นซึ่งกดดันให้ส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวลดลงประมาณ US$100/ตันในปัจจุบัน ดังนั้นเราจึงปรับสมมติฐานส่วนต่างราคา HDPE ลดลงจาก US$450/ตัน สู่ US$350/ตัน ในปี 2567 และจาก US$475/ตัน สู่ US$400/ตัน ในปี 2568 นอกจากนี้ยังปรับประมาณการเพื่อสะท้อนค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยจ่ายที่สูงกว่าคาดเล็กน้อยของโครงการ LSP ส่งผลทำให้เราปรับประมาณการกำไรในปี 2567 ลดลง 60% และปี 2568 ลดลง 27% กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ เราปรับลดคำแนะนำระยะ 3 เดือนสำหรับ SCC ลงสู่ NEUTRAL (จาก OUTPERFORM) จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่อ่อนแอกว่าคาด ซึ่งจะส่งผลลบต่อโรงงาน LSP แห่งใหม่ที่อาจเริ่มดำเนินการภายใต้กระแสเงินสดติดลบในระยะแรกของการเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนก.ย. 2567 (คาดว่า 4Q67 จะเป็นไตรมาสที่กำไรต่ำสุดของปี) นอกจากนี้เรายังคาดว่า consensus จะปรับประมาณการกำไรลดลงเพื่อสะท้อนส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ในระยะกลางถึงระยะยาวเนื่องจากอุปทานจะเพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอตัวลง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงสถานการณ์อุปทานล้นตลาดในธุรกิจซีเมนต์และธุรกิจเคมิคอลส์ | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก SCC240715_T
|