ยอดขายของ AH มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นใน 2Q66 โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจ OEM ในประเทศไทยจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นและการผลิตตามคำสั่งซื้อใหม่ ในส่วนของการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ AH คาดว่าผลกระทบจะมีจำกัด เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีทักษะที่ได้รับค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังได้นำระบบ automation มาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอีกด้วย เราชอบ AH เพราะ valuation น่าสนใจ โดยเทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 6.7 เท่า เทียบกับคู่แข่งที่ 8.1-9.1 เท่า และจะได้รับประโยชน์จากยอดขาย EV ที่เติบโตเพิ่มขึ้น เราให้คำแนะนำ tactical call ระยะ 3 เดือนสำหรับ AH ที่ OUTPERFORM ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 44 บาท/หุ้น
คำสั่งซื้อใหม่เป็นไปตามเป้า หลังการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน 1Q66 AH คาดว่ายอดขายจะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY อย่างต่อเนื่องใน 2Q66 โดยได้แรงหนุนส่วนใหญ่จากธุรกิจ OEM ในประเทศไทยจากการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นและการผลิตตามคำสั่งซื้อใหม่: เพลารถกระบะ (มูลค่ารวม ~1.2 พันลบ./ปี ในปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 700 ลบ. ในปี 2565, เริ่มผลิตในช่วงปลาย 2Q65) และคำสั่งผลิต battery shield และชิ้นส่วนประกอบตัวถัง EV ให้กับ Vinfast ซึ่งเป็นผู้ผลิต EV ของเวียดนาม (~900-1,000 ลบ. ในปี 2566 เพิ่มจาก ~300 ลบ. ในปี 2565) คำสั่งซื้อของ Vinfast มีการส่งมอบตามปกติใน 1Q66 ราว 300 ลบ. AH ยังคงเป้าว่ายอดขายชิ้นส่วน EV (ผลิตในฐานการผลิตทุกแห่ง: ประเทศไทย โปรตุเกส และจีน) จะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2566 (จาก ~700 ลบ. ในปี 2565) เราคาดว่ากำไรปกติ 2Q66 ของ AH จะเติบโต YoY แต่จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล (วันหยุดยาว)
ไม่มีส่วนแบ่งกำไรจากฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) แต่ผลกระทบจะมีจำกัด ในเดือนเม.ย. บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมของ AH (สัดส่วนการถือหุ้น 20%) ได้หยุดการดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของแบรนด์ฮุนไดในประเทศไทย หลังจากบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ผู้ผลิตรถยนต์เกาหลีใต้) เข้ามาทำตลาดเอง บริษัทร่วมแห่งนี้สร้างส่วนแบ่งกำไรให้กับ AH จำนวน 111 ลบ. หรือ ~6% ของกำไรปกติในปี 2565 แม้ว่าส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมจะลดลง แต่เราเชื่อว่าธุรกิจ OEM ที่แข็งแกร่งของ AH จะช่วยลดทอนผลกระทบดังกล่าวได้ ดังนั้นเราจึงคงประมาณการของเราไว้ว่ากำไรปกติจะเติบโต 8% สู่ 1.8 พันลบ. ในปี 2566
ผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ AH ได้มีการศึกษาถึงผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในประเทศไทย แต่บริษัทคาดว่าผลกระทบจะมีจำกัด เนื่องจากพนักงานส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีทักษะที่ได้รับค่าแรงสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำอยู่แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังได้นำระบบ automation มาใช้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอีกด้วย ต้นทุนพนักงานทั้งหมดของ AH คิดเป็น 10% ของยอดขาย และเมื่อใช้สมมติฐานว่า ต้นทุนพนักงาน 20% ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น การวิเคราะห์ความอ่อนไหวบ่งชี้ว่าค่าแรงขั้นต่ำที่เพิ่มขึ้น 10% จะส่งผลกระทบต่อกำไรราว 2-3%
Valuation น่าสนใจ ปัจจุบันหุ้น AH เทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 6.7 เท่า ต่ำกว่า SAT ที่ 8.1 เท่า และ STANLY ที่ 9.1 เท่า ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ของเราอยู่ที่ 44 บาท/หุ้น อ้างอิง PE 8.6 เท่า (ค่าเฉลี่ยปี 2560-2561 ซึ่งเป็นช่วงที่กำไรของ AH กลับมาเติบโตตามปกติ)
ปัจจัยเสี่ยง 1) ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อรถยนต์ และ 2) การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่งผลทำให้ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์หยุดชะงัก
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม AH230530_T