AH เปิดเผยในการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ว่าบริษัทตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เติบโต 10-15% โดยได้แรงหนุนจากการดำเนินงานในประเทศไทยและโปรตุเกสที่เติบโตมากขึ้น และยอดขายชิ้นส่วน EV ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว ในช่วงสองวันที่ผ่านมา สภาวะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-off) ได้กดดันให้ราคาหุ้น AH ปรับตัวลดลง 16% มาเทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 5.0 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เราเคยเห็นในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551-2552 บ่งชี้ว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมาก เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ AH ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 44 บาท/หุ้น เพราะผลตอบแทนน่าสนใจเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
เป้าหมายปี 2566 สำหรับปี 2566 AH ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 10-15% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 10-12% (เทียบกับ 11.4% ในปี 2565) ประเทศไทย: ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ OEM (54% ของยอดขาย): จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนจากการผลิตเพลารถกระบะตามคำสั่งซื้อใหม่ซึ่งเริ่มผลิตในช่วงปลาย 2Q65 (มูลค่ารวม ~1.2 พันลบ./ปี เพิ่มขึ้นจาก 700 ลบ. ในปี 2565) ได้เต็มปี และคำสั่งซื้อใหม่จาก Vinfast ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ของเวียดนาม (~900 ลบ. ในปี 2566 จาก ~300 ลบ. ในปี 2565) สำหรับข่าวการส่งมอบรถของ Vinfast ล่าช้านั้น AH กล่าวว่าการผลิตตามคำสั่งซื้อของ Vinfast ของบริษัทยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง โปรตุเกส (15% ของยอดขาย): การดำเนินงานในโปรตุเกสทำกำไรได้เล็กน้อยในปี 2565 (เทียบกับขาดทุน ~100 ลบ. ในปี 2564) AH คาดว่าการดำเนินงานจะดีขึ้นในปี 2566 โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับยานยนต์ (ชิ้นส่วนหล่อขึ้นรูปสำหรับโซลาร์รูฟ และชิ้นส่วน EV ที่กำลังเติบโต) ที่เติบโตมากขึ้น ชิ้นส่วน EV: ยอดขายชิ้นส่วน EV อยู่ที่ ~700 ลบ. ในปี 2565 (3% ของยอดขาย) และจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2566 โดยอิงกับคำสั่งซื้อที่บริษัทมีอยู่ในมือ
คาดมีการเปลี่ยนแปลงการลงทุนในฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์)รายงานข่าวระบุว่า ฮุนได มอเตอร์ (ผู้ผลิตรถยนต์ของเกาหลีใต้) จะเข้ามาดำเนินการจัดจำหน่ายรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ของแบรนด์ฮุนไดในประเทศไทยด้วยตัวเองผ่านทางบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ (ประเทศไทย) จำกัด เราคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงการลงทุนของ AH ในบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด (Sojitz Corporation ถือหุ้น 80% และ AH ถือหุ้น 20%) ซึ่งได้รับสิทธิจากฮุนได มอเตอร์ ในการเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮุนไดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 โดย AH กล่าวว่ายังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องนี้ เมื่อใช้สมมติฐานว่า AH หยุดการดำเนินงานในบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เราประเมินว่าจะส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลง ~6% ของกำไรปกติในปี 2566 เราเชื่อว่าผลกระทบจะลดลงหาก AH ร่วมมือกับ ฮุนได มอเตอร์ เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฮุนได ในอนาคต
คงประมาณการกำไรไว้เหมือนเดิม เรายังคงประมาณการของเราไว้ว่ากำไรปกติของ AH จะเติบโต 8% สู่ 1.8 พันลบ. ในปี 2566 โดยอิงกับยอดขายที่เติบโต 3% (เนื่องจากยอดขายจากธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ในมาเลเซียจะกลับสู่ระดับปกติ) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 12.2% สำหรับ 1Q66 AH คาดว่ายอดขายจะปรับตัวดีขึ้น YoY แต่จะอยู่ในระดับทรงตัว QoQ
Valuation อยู่ที่ระดับเดียวกับช่วงที่เกิดวิกฤต ในช่วงสองวันที่ผ่านมา สภาวะที่นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-off) ได้กดดันให้ราคาหุ้น AH ปรับตัวลดลง 16% มาเทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 5.0 เท่า เมื่อใช้สมมติฐานกรณีเลวร้ายที่สุด คือ ไม่มีคำสั่งซื้อจาก Vinfast และส่วนแบ่งกำไรลดลงจากบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด จะส่งผลกระทบ 4% และ 6% ต่อกำไรปกติปี 2566 ของ AH ตามลำดับ และ valuation จะอยู่ที่ PE ปี 2566 ระดับ 5.6 เท่า ซึ่ง valuation ดังกล่าวเป็นระดับที่เราเห็นในช่วงที่เกิดวิกฤตการเงินโลกในปี 2551-2552 ซึ่งบ่งชี้ว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปค่อนข้างมากแล้ว
ปัจจัยเสี่ยง1) ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อ และ 2) การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งส่งผลทำให้ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมยานยนต์หยุดชะงัก