กำไรสุทธิ 1Q66 ออกมาตามตลาดคาดที่ 1.3 พันลบ. ทรงตัว YoY เนื่องจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นหักกลบกับอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น แต่ -23% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นใน 2Q66TD SSS จึงเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลาง YoY (SSS เติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับสูง YoY หากไม่รวมยอดขายกลุ่ม B2B) เราคาดว่ากำไร 2Q66 จะเติบโต YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดขายและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้น แต่จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ คงเรทติ้ง OUTPERFORM ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7% และอัตราการเติบโตระระยาว 2.5%) ที่ 44 บาท
กำไรสุทธิ 1Q66 อยู่ที่ 1.3 พันลบ. ทรงตัว YoY แต่ -23% QoQ เป็นไปตามตลาดคาด หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 45 ลบ. กำไรปกติ 1Q66 อยู่ที่ 1.2 พันลบ. ทรงตัว YoY แต่ -28% QoQ กำไรในระดับทรงตัว YoY เกิดจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นไปหักกลบกับอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น ในขณะที่กำไรที่ลดลง QoQ เกิดจากปัจจัยฤดูกาล
รายได้ดีขึ้น รายได้ 64% ใน 1Q66 ได้มาจากกลุ่มสินค้าและบริการทางการค้าปลีกสมัยใหม่ (BIGC, MSC), 16% ได้มาจากกลุ่มสินค้าและบริการทางบรรจุภัณฑ์ (PSC), 14% ได้มาจากกลุ่มสินค้าและบริการทางอุปโภคบริโภค (CSC) และ 6% ได้มาจากกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์และทางเทคนิค (H&TSC) รายได้รวม เติบโต 4% YoY จากรายได้ที่ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ รายได้จากกลุ่ม MSC เติบโต 3% YoY จากการขยายสาขาและ SSS ที่เติบโต 1.6% YoY (SSS +5.8% YoY เมื่อไม่รวมยอดขายกลุ่ม B2B) ซึ่งได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ทั้งนี้ใน 1Q66 BJC เปิด Big C Mini 6 สาขา (หลังจากหักสาขาที่ปิด) ส่งผลทำให้บริษัทมีจำนวนสาขาขนาดใหญ่รวมทั้งหมด 154 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 61 สาขา Big C Mini 1,455 สาขา และร้านขายยา 146 สาขา รายได้จากกลุ่ม PSC เติบโต 7% YoY โดยเกิดจากยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วที่ดีขึ้น (+12% YoY) เพราะปริมาณการขายและราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบและค่าสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น และยอดขายกระป๋องอลูมิเนียมที่ดีขึ้น (+1% YoY) เนื่องจากยอดขายในประเทศไทยที่ดีขึ้นช่วยชดเชยยอดขายในเวียดนามที่ลดลงจากฐานสูงของปีก่อน รายได้จากกลุ่ม CSC เติบโต 3% YoY จากยอดขายที่ดีขึ้นในธุรกิจอาหาร (+7% YoY) ธุรกิจอุปโภค (+1% YoY) และธุรกิจต่างประเทศ (+2% YoY) รายได้จากกลุ่ม H&TSC เติบโต 4% YoY จากยอดขายที่ดีขึ้นในฝ่ายเวชภัณฑ์และฝ่ายวิศวกรรม
รายการอื่นๆอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้น 80bps YoY สู่ 19.4% โดยได้แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ ยกเว้นกลุ่ม PSC มาร์จิ้นกลุ่ม MSC เพิ่มขึ้น 190bps YoY จากการมีสัดส่วนการขายที่ดีขึ้น (สัดส่วนยอดขายกลุ่ม B2B ที่ให้มาร์จิ้นต่ำลดลงสู่ 8.8% ใน 1Q66 เทียบกับ 12.4% ใน 1Q65 และสัดส่วนยอดขายกลุ่ม soft line ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น) และการบริหารจัดการกิจกรรมส่งเสริมการขายและโลจิส ติกส์ได้ดีขึ้น มาร์จิ้นกลุ่ม CSC เติบโต 20bps YoY เนื่องจากต้นทุนน้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว และค่าขนส่งในธุรกิจอาหารปรับตัวลดลง มาร์จิ้นกลุ่ม H&TSC เติบโต 120bps YoY เนื่องจากยอดขายกลุ่มสินค้าและบริการทางเวชภัณฑ์ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น มาร์จิ้นกลุ่ม PSC ลดลง 340bps YoY เพราะได้รับผลกระทบจากต้นทุนก๊าซธรรมชาติ โซดาแอช และอลูมิเนียมระดับสูง และจากฐานการเปรียบเทียบที่สูงเนื่องจากมาร์จิ้นใน 1Q65 ได้รับประโยชน์จากวัตถุดิบคงเหลือที่มีราคาถูกในปี 2564 SG&A เติบโต 7% YoY โดยเกิดจากค่าไฟฟ้าและค่าใช้จ่ายโฆษณาและส่งเสริมการขายที่สูงขึ้น รายได้อื่นและรายได้ค่าเช่า เพิ่มขึ้น 2% YoY เนื่องจากการให้ส่วนลดค่าเช่าลดลงช่วยชดเชยอัตราการเช่าพื้นที่ที่ลดลง (86.1% ใน 1Q66 เทียบกับ 87.5% ใน 1Q65 และ 88.2% ใน 4Q65) จากการขยายพื้นที่เช่าและการหยุดชะงักจากการปรับปรุงร้านไฮเปอร์มาร์เก็ต 8 สาขา อัตราภาษี อยู่ที่ 8.4% (เทียบกับ 8.8% ใน 1Q65 และ 0.8% ใน 4Q65)
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม 12052023-17