แม้ราคาหุ้น BTS ปรับตัวลดลงมาแล้ว 22.8% YTD แต่เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL โดยปรับราคาเป้าหมายลดลงสู่ 9.6 บาท (จาก 11.2 บาท) เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการผลประกอบการลดลงและมูลค่าเงินลงทุนใน VGI และ RABBIT ที่ลดลง เรามองว่าราคาหุ้น BTS ยังขาดปัจจัยกระตุ้น เนื่องจากกำไรปกติยังไม่ถึงจุดต่ำสุด ราคาเป้าหมายของเราจะอยู่ที่ 6 บาท/หุ้น หากตัดมูลค่าการต่อสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวออกไป ทั้งนี้การที่ กทม.จะจ่ายหนี้สัญญา E&M อาจทำให้สมมติฐานการต่อสัมปทานของเราใช้ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะต้องมีการเจรจาสัญญากันใหม่ สรุปผลประกอบการ 3QFY67 BTS รายงานขาดทุนสุทธิ 4.8 พันลบ. ใน 3QFY67 (ต.ค.-ธ.ค. 2566) เทียบกับกำไรสุทธิ 257 ลบ. ใน 2QFY67 และกำไรสุทธิ 1 พันลบ. ใน 3QFY66 โดยใน 3QFY67 BTS บันทึกรายการพิเศษหลายรายการด้วยกัน โดยรายการที่สำคัญ คือ ขาดทุนจากการด้อยค่าของเงินลงทุนใน KEX และ SINGER หากตัดรายการเหล่านี้ออกไป กำไรปกติอยู่ที่ 144 ลบ. เพิ่มขึ้น 335.7% QoQ แต่ลดลง 87.7% YoY กำไรปกติที่เติบโต QoQ ได้แรงหนุนจากธุรกิจสื่อโฆษณาที่ปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่กำไรปกติที่ลดลง YoY เกิดจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง มุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์ BTS จัดการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ ผู้บริหารกล่าวว่าบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาว่าจะขายหุ้น KEX ผ่านการทำ tender offer หรือไม่ บริษัทจะทำการตัดสินใจครั้งสุดท้ายในเดือนมี.ค. โดยมีเหตุผลหลักๆ คือ เพื่อไม่ให้ KEX เป็นตัวถ่วงงบกำไรขาดทุนของบริษัทต่อไปหลังจากนี้ ดังนั้นเราคาดว่าจะเห็นการขายหุ้น KEX ออกไปบางส่วน เนื่องจากต้นทุนหุ้น KEX หลังบันทึกขาดทุนจากการด้อยค่าอยู่ที่ 5.5 บาท/หุ้น ทำให้ในกรณีที่ BTS ตัดสินใจขายหุ้น KEX ออกไปจริงจะไม่เห็นการบันทึกกำไรพิเศษจากการขาย นอกจากนี้ BTS ยังชี้แจงว่าหนี้ที่ กทม. เตรียมที่จะจ่ายค่า E&M กว่า 2.3 หมื่นลบ. รวมถึงเงินอุดหนุนสายสีชมพูและเหลืองที่ได้จากรัฐบาลนั้น บริษัทจะไม่มีการบันทึกเงินส่วนนี้เข้าไปที่งบกำไรขาดทุน สำหรับจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้า BTS นั้น บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงระดับก่อนเกิด COVID ในปี 2568 สอดคล้องกับที่เราคาดการณ์ คาดกำไรปกติ 4QFY67 ลดลง QoQ แม้กำไรสุทธิน่าจะปรับตัวดีขึ้น QoQ แต่เราเชื่อว่ากำไรปกติยังไม่น่าจะถึงจุดต่ำสุด โดยใน 4QFY67 เราคาดว่าต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับรถไฟฟ้าสายสีชมพูจะสร้างแรงกดดันต่อการดำเนินงานปกติ เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนม.ค. ปรับสมมติฐานของเรา เนื่องจากขาดทุนสุทธิใน 9MFY67 อยู่ที่ 5.3 พันลบ. เทียบกับกำไร 693 ลบ. ที่เราคาดการณ์ไว้สำหรับปี FY 2567 ก่อนหน้านี้ เราจึงปรับประมาณการปี FY2567 ลดลงสู่ขาดทุน 5.5 พันลบ. เพื่อสะท้อนขาดทุนจากการด้อยค่าและจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ต่ำกว่าคาด ก่อนหน้านี้เราคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารของทั้งสองสายที่ 75,000 เที่ยวคนต่อวัน แต่จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ย YTD สำหรับสายสีชมพูอยู่ที่ 50,000 เที่ยวคนต่อวัน และสายสีเหลืองอยู่ที่ 35,000 เที่ยวคนต่อวัน ดังนั้นเราจึงปรับสมมติฐานของเราลดลงให้สอดคล้องกับตัวเลขเหล่านี้ เราคาดว่าผลประกอบการปี FY2568 จะพลิกกลับมามีกำไรได้ที่ 252 ลบ. เนื่องจากไม่มีขาดทุนจาก KEX และธุรกิจหลักปรับตัวดีขึ้น ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล ประเด็น overhang เกี่ยวกับการต่อสัมปทานเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและการชำระหนี้งาน O&M จาก กทม. ความเสี่ยงด้าน ESG สำหรับ BTS คือ ความน่าเชื่อถือในการให้บริการ | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก BTS240220_T
|