BTS รายงานขาดทุนปกติ 382 ลบ. ใน 1QFY68 แย่ลงจากที่มีกำไรปกติ 79 ลบ. ในไตรมาสก่อนหน้า และขาดทุนปกติ 69 ลบ. ใน 1QFY67 โมเมนตัมอ่อนแอกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ หลักๆ เกิดจากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ต่ำกว่าคาด ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการปี FY2568 ลดลงสู่ขาดทุนปกติ 795 ลบ. จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรปกติ 267 ลบ. เราคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ BTS โดยปรับราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี SOTP ใหม่เป็น 5.1 บาท/หุ้น (จาก 5.9 บาท) ทั้งนี้หลังจากเพิ่มทุน (RO) และเข้าซื้อหุ้น ROCTEC และ RABBIT ราคาเป้าหมายของเราจะอยู่ที่ 4.9 บาท สรุปผลประกอบการ 1QFY68 BTS รายงานขาดทุนสุทธิ 382 ลบ. ใน 1QFY68 (เม.ย.-มิ.ย. 2567) เทียบกับกำไรสุทธิ 36 ลบ. ใน 4QFY67 และขาดทุนสุทธิ 772 ลบ. ใน 1QFY67 เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษที่มีนัยสำคัญในไตรมาสนี้ ขาดทุนปกติจึงอยู่ที่ 382 ลบ. แย่ลงจากที่มีกำไรปกติ 79 ลบ. ใน 4QFY67 และขาดทุนปกติ 69 ลบ. ใน 1QFY67 ผลการดำเนินงานที่อ่อนแอลง QoQ และ YoY มีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากงานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ลดลง และการรับรู้ผลขาดทุนจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลือง เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน รายได้รวมอยู่ที่ 3.7 พันลบ. ลดลง 3.7% QoQ และ 27.4% YoY โดยการปรับตัวลดลง QoQ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงหลังจาก กทม. ชำระหนี้งาน E&M จำนวน 2.3 หมื่นลบ. ในเดือนเม.ย. ในขณะที่การปรับตัวลดลง YoY เกิดจากรายได้งานก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ลดลง เนื่องจากการก่อสร้างทั้งสองสายเสร็จสิ้นแล้ว โดยรวมแล้ว ผลประกอบการ 1QFY68 อ่อนแอกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ และเรามองว่า BTS ไม่น่าจะสามารถรายงานกำไรปกติในปี FY2568 ได้ตามที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 267 ลบ. ประเด็นสำคัญจากการประชุม เราได้เข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวานนี้ โดยภาพรวมเป็นกลาง ผู้บริหารชี้แจงว่าการทำ tender offer หุ้น ROCTEC ที่ 1 บาท/หุ้น และหุ้น RABBIT ที่ 0.6 บาท/หุ้น นั้นสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าผู้ถือหุ้น BTS และ VGI จะมีมติไม่เห็นด้วยก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะบริษัทย่อยของ BTS สามารถเข้าซื้อแทนได้ เนื่องจากบริษัทได้รับ Bank Certificate จากธนาคารกรุงเทพมาแล้ว ในส่วนของหนี้ กทม. ส่วนที่เป็นค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) นั้น ผู้บริหารกล่าวว่าหนี้ส่วนแรกที่มีมูลค่าประมาณ 1.2 หมื่นลบ. นั้น ทาง กทม. คาดว่าจะชำระด้วยเงินสด เนื่องจากมีเงินสำรองเพียงพอและน่าจะชำระก่อนกำหนดที่ 180 วัน แต่ในส่วนที่เหลือประมาณ 2.7 หมื่นลบ. ยังไม่มีความชัดเจนว่าทาง กทม. จะชำระในรูปแบบไหน ปัจจุบัน กทม. มีการชำระหนี้ O&M รายเดือนบางส่วนให้กับ BTS สำหรับเรื่องค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายนั้นยังอยู่ในช่วงของการเจรจา โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงต้นปี 2568 ปรับสมมติฐานลดลง เนื่องจากผลประกอบการ 1QFY68 อ่อนแอกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ (หลักๆ เกิดจากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองที่ต่ำกว่าคาด) เราจึงปรับประมาณการปี FY2568 ลดลงสู่ขาดทุนปกติ 795 ลบ. จากเดิมที่คาดว่าจะมีกำไรปกติ 267 ลบ. เพื่อสะท้อนการปรับสมมติฐานจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองลดลง โดยปัจจุบันเราคาดการณ์จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในปี FY2568 ที่ 40,000 เที่ยวคน/วัน (จาก 53,000 เที่ยวคน/วัน) และสายสีชมพูที่ 60,000 เที่ยวคน/วัน (จาก 75,000 เที่ยวคน/วัน) เทียบกับเป้าหมายของ BTS ที่ 50,000-70,000 เที่ยวคน/วัน สำหรับสายสีเหลือง และ 60,000-80,000 เที่ยวคน/วัน สำหรับสายสีชมพู ทั้งนี้จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเฉลี่ยในช่วง 4MFY68 อยู่ที่ 33,000 เที่ยวคน/วัน และสายสีชมพูอยู่ที่ 51,700 เที่ยวคน/วัน ในขณะที่เรายังคงสมมติฐานว่า BTS จะยังคงได้รับรายได้ดอกเบี้ยจากหนี้ O&M ในปี FY2568 ซึ่งยอดหนี้ทั้งหมดในปัจจุบันอยู่ที่ 3.9 หมื่นลบ. อัตราดอกเบี้ย 8% ต่อปี แม้ว่าศาลปกครองสุดสุดตัดสินให้ BTS ชนะคดีแล้วก็ตาม เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนว่า กทม. จะชำระหนี้เมื่อใด เราปรับราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี SOTP ลดลงมาอยู่ที่ 5.1 บาท/หุ้น (จาก 5.9 บาท) เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการผลประกอบการลดลงและราคาเป้าหมายใหม่สำหรับ BTSGIF ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล จำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองฟื้นตัวช้า ความเสี่ยงด้าน ESG สำหรับ BTS คือ ความน่าเชื่อถือในการให้บริการ ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อจำนวนผู้โดยสาร | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก BTS240821_T
|