เราได้เข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ของ CHG ซึ่งภาพรวมเป็นกลาง CHG ยังคงเป้ารายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 ไว้ที่ 8.0 พันลบ. ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 21% YoY โดยได้แรงหนุนจากความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นและการเปิดโรงพยาบาลใหม่ บริษัทคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอ่อนตัวลงในปี 2566 โดยมีสาเหตุมาจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโรงพยาบาลใหม่ เรายังคงประมาณการกำไรของเราไว้เหมือนเดิม โดยคาดว่ากำไรจะลดลง 55% ในปี 2566 (จากฐานสูงของบริการโควิด-19) และจะเติบโตปานกลางที่ 12% ในปี 2567 (ถูกฉุดรั้งโดยผลขาดทุนเริ่มแรกจากโรงพยาบาลใหม่) เรายังคงคำแนะนำ tactical call ระยะ 3 เดือน สำหรับ CHG ไว้ที่ NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 4 บาท/หุ้น
คงเป้ารายได้ในปี 2566 CHG ยังคงเป้ารายได้ปี 2566 ไว้ที่ 8.0 พันลบ. (ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นใน 2H66) เพิ่มขึ้น 21% จากรายได้ที่ไม่รวมบริการโควิด-19 ที่ 6.6 พันลบ. ในปี 2565 ปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญ คือ รายได้จากบริการที่ไม่เกี่ยวกับโควิด-19 ที่เติบโตเพิ่มขึ้นทั้งจากบริการผู้ป่วยประเภทชำระเงินเอง (self-pay) และโครงการประกันสังคม (SC) รวมถึงการเปิดโรงพยาบาลใหม่ คือ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ แม่สอด (59 เตียง จาก 100 เตียง ในเฟสแรก) ในเดือน มิ.ย. 2566 ศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ (ศูนย์มะเร็ง และศูนย์โรคหลอดเลือดและระบบประสาท; 50 เตียง) ในเดือน ก.ค. 2566 และการขยายจำนวนเตียงที่โรงพยาบาลเดิมใน 2H66: โรงพยาบาลจุฬารัตน์ 304 อินเตอร์ (59 เตียง, เพิ่มขึ้น 100%) และโรงพยาบาลรวมแพทย์ฉะเชิงเทรา (71 เตียง, เพิ่มขึ้น 120%) CHG มีแผนระยะยาวที่จะเพิ่มจำนวนเตียงอีก 64% สู่กว่า 1,300 เตียง ภายในปี 2570 และกำลังสำรวจโอกาสลงทุนในธุรกิจ wellness
คาดมาร์จิ้นอ่อนตัวลงในปี 2566 CHG คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2566 จะต่ำกว่า 30-32% ในปี 2562-2563 (ที่เป็นช่วงเวลาปกติ ไม่มีผลกระทบจากการให้บริการโควิด-19) โดยเกิดจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับโรงพยาบาลใหม่ที่วางแผนเปิดให้บริการในปีนี้ CHG คาดว่าการดำเนินงานที่โรงพยาบาลใหม่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ แม่สอด จะถึงจุดคุ้มทุนในอีก 3-4 ปี อย่างไรก็ดี บริษัทคาดว่า ศูนย์การแพทย์จุฬารัตน์ และการขยายจำนวนเตียงที่โรงพยาบาลเดิมจะไม่มีผลขาดทุนเป็นนัยยะสำคัญ เนื่องจากความต้องการรักษาโรคมะเร็งและโรคหลอดเลือดและระบบประสาทค่อนข้างสูง และโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งที่จะมีการขยายเตียงนั้นมีอัตราการครองเตียงปัจจุบันสูงที่ 70-80%
คงประมาณการ เราคาดว่ากำไรปกติ 2Q66 จะลดลง YoY จากฐานสูง แต่จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ เนื่องจากผลกระทบจากช่วงโลว์ซีซั่นจะได้รับการชดเชยจากการปรับอัตราค่าบริการเหมาจ่ายรายหัวผู้ประกันตนในโครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้น เราประเมินกำไรปกติของ CHG ได้ที่ 1.3 พันลบ. ในปี 2566 (-55% YoY จากฐานสูงของบริการโควิด-19) โดยอิงกับรายได้ที่ 7.5 พันลบ. และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29.6% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท เราประเมินว่ากำไรจะเติบโตปานกลางที่ 12% ในปี 2567 โดยอิงกับมุมมองที่ว่าบริษัทจะมีผลขาดทุนช่วงแรกจากโรงพยาบาลใหม่ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ แม่สอด
คงเรทติ้ง NEUTRAL ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF อยู่ที่ 4 บาท/หุ้น โดยอิงกับ WACC ที่ 6.7% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 3% ความเชื่อมั่นในผลประกอบการจะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้น CHG เมื่อกำไรของบริษัทกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY ใน 2H66
ปัจจัยเสี่ยง: ผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการน้อยลง การขาดแคลนบุคลากร และภาระต้นทุนที่โรงพยาบาลใหม่
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม CHG230519_T