เราคาดการณ์กำไรปกติ 4Q65 ที่ 3.7 พันลบ. +32% YoY แต่ -3% QoQ โดยกำไรปกติที่เพิ่มขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นในธุรกิจ CVS ที่ฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยส่วนแบ่งกำไรจาก MAKRO ที่ลดลงหลังจากเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นใน 1Q66TD ช่วยหนุนให้ SSS เติบโตสูงกว่าตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY เราคาดว่ากำไรปกติ 1Q66 จะเติบโต YoY โดยเกิดจากยอดขายทั้งจากธุรกิจ CVS และ MAKRO ที่ดีขึ้น และอย่างน้อยจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เราคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ CPALL ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 78 บาท
เราคาดการณ์กำไรปกติ 4Q65 ที่ 3.7 พันลบ. +32% YoY แต่ -3% QoQ โดยกำไรปกติที่เพิ่มขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นในธุรกิจ CVS ที่ฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยส่วนแบ่งกำไรจาก MAKRO ที่ลดลงหลังจากเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นใน 1Q66TD ช่วยหนุนให้ SSS เติบโตสูงกว่าตัวเลขหลักเดียวระดับสูง YoY เราคาดว่ากำไรปกติ 1Q66 จะเติบโต YoY โดยเกิดจากยอดขายทั้งจากธุรกิจ CVS และ MAKRO ที่ดีขึ้น และอย่างน้อยจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เราคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ CPALL ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 78 บาท
คาดการณ์กำไรสุทธิ 4Q65 ที่ 3.6 พันลบ. -46% YoY และ -3% QoQ หากตัดขาดทุนพิเศษจำนวน 129 ลบ. จากค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดของ MAKRO (ตามสัดส่วนการถือหุ้นของ CPALL) ออกไป เราประเมินกำไรปกติ 4Q65 ได้ที่ 3.7 พันลบ. +32% YoY แต่ -3% QoQ โดยกำไรปกติที่เพิ่มขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายและมาร์จิ้นในธุรกิจร้านสะดวกซื้อ (CVS) ที่ฟื้นตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยส่วนแบ่งกำไรจาก MAKRO ที่ลดลงหลังจากเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้น CPALL จะประกาศผลประกอบการวันที่ 23 ก.พ.
ธุรกิจ CVS ดีขึ้น ใน 4Q65 เราคาดว่า SSS จะเติบโต 12% YoY (เทียบกับ 1.3% YoY ใน 4Q64 และ 22.1% YoY ใน 3Q65) โดยเกิดจากฐานต่ำของปีก่อนอันเป็นผลมาจากมาตรการเคอร์ฟิว กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว การกลับมาของนักท่องเที่ยว และอีเว้นท์ World Cup ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย. ถึง 18 ธ.ค. เราประเมินว่า CPALL เปิดร้านสะดวกซื้อใหม่ 174 สาขาใน 4Q65 ซึ่งจะส่งผลทำให้บริษัทมีสาขาสุทธิ 13,834 สาขา ณ สิ้น 4Q65 (+5% YoY และ +1% QoQ) อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น YoY จากการมียอดขายสินค้ากลุ่มของใช้ส่วนตัวและสินค้ากลุ่ม ready-to-eat & drink ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้นอันเป็นผลมาจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวและการตัดสินใจซื้อแบบฉับพลันที่เพิ่มขึ้น การปรับราคาสินค้าอาหารขึ้นอีกเพื่อให้ครอบคลุมต้นทุน และไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดจำหน่ายระดับสูงสืบเนื่องมาจากสถานการณ์ COVID-19 เช่น ค่าใช้จ่ายจากการจัดการระบบขนส่งเพื่อเติมสินค้าให้ร้านสำหรับชั่วโมงทำการที่สั้นลงเหมือนใน 4Q64 เกิดขึ้นอีก อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น QoQ จากค่า incentive และค่าสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น
ส่วนแบ่งกำไรจาก MAKRO ลดลง YoY CPALL มีสัดส่วนการถือหุ้น 60% ใน MAKRO ใน 4Q65 เทียบกับ 72% ใน 4Q64 เราคาดว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือหุ้นจะส่งผลทำให้ส่วนแบ่งกำไรสุทธิจาก MAKRO ใน 4Q65 ลดลง YoY แม้ MAKRO (ถือหุ้น 99.99% ใน Lotus’s ตั้งแต่วันที่ 25 ต.ค. 2564) น่าจะรายงานกำไรปกติ 4Q65 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 2.6 พันลบ. +4% YoY โดยได้รับการสนับสนุนจากธุรกิจ B2B ที่ยอดขายสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยชดเชยธุรกิจ B2C ที่อ่อนแอลง เพราะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสูงขึ้นตามอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเงินบาทที่อ่อนค่าลงส่งผลกระทบต่อเงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐ และ +67% QoQ เพราะธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ปรับตัวดีขึ้นตามฤดูกาล สำหรับธุรกิจ B2B เราประเมินกำไรปกติที่ 2.4 พันลบ. +10% YoY และ +53% QoQ โดยการปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY เป็นเพราะยอดขายที่สูงขึ้น (SSS เติบโต 9% YoY) และอัตรากำไรขั้นต้นในระดับทรงตัวช่วยชดเชยอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น สำหรับธุรกิจ B2C กำไรปกติน่าจะอยู่ที่ 272 ลบ. -31% YoY เพราะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้นไปหักล้างยอดขายที่สูงขึ้น (SSS เติบโต 1.5% YoY และรายได้ค่าเช่าแข็งแกร่งขึ้น) แต่ดีกว่า 29 ลบ. ใน 3Q65 จากปัจจัยฤดูกาล
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น