ใน 2Q67TD เราคาดว่า SSS ของ GLOBAL จะลดลง 2% YoY โดยลดลง YoY เนื่องจากกิจกรรมการก่อสร้างได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนักในช่วงครึ่งหลังของเดือนพ.ค. แต่การหดตัวชะลอตัวลง YoY จากช่วง 7 ไตรมาสที่ผ่านมาจากราคาเหล็กที่กลับสู่ภาวะปกติและการกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเดือนพ.ค. เราคาดว่ากำไร 2Q67 ของ GLOBAL จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY โดย SSS จะหดตัวลงเล็กน้อยท่ามกลางอัตรากำไรขั้นต้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยมีสัดส่วนยอดขายสินค้า private brand ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้นจากการเติมสต็อกสินค้าได้ดีขึ้นและการบริหารจัดการกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ดีขึ้น การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐเพิ่มเติมและการขยายสาขาเชิงรุกจะช่วยหนุนให้ยอดขายและกำไร 2H67 ปรับตัวเพิ่มขึ้น YoY คงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ GLOBAL โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 18.5 บาท คาดอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวใน 2Q67 สัดส่วนยอดขายสินค้า private brand ที่มีมาร์จิ้นสูงต่อยอดขายรวมของ GLOBAL ปรับตัวลดลงสู่ 23% ใน 1Q67 (เทียบกับ 24% ในปี 2566) จากปัญหาการเติมสต๊อกสินค้าขายดี อย่างไรก็ตาม GLOBAL ยังคงตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า private brand สู่ 24-25% สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2567 จากการเติมสต๊อกสินค้าที่ดีขึ้นด้วยการปรับการสั่งสินค้าล๊อตใหม่โดยที่มีการส่งมอบส่งสินค้าครบทั้งหมดตั้งแต่ 2Q67 เป็นต้นไป ยอดขายสินค้า private brand ที่ฟื้นตัวดีขึ้นประกอบกับการบริหารจัดการกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ดีขึ้นใน 2Q67TD ทำให้เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะฟื้นตัวสู่ระดับสูงกว่า 26% ใน 2Q67 (เทียบกับ 25.4% ใน 2Q66 และ 25% ใน 1Q67) SSS หดตัว YoY ในอัตราที่ชะลอตัวลงใน 2Q67TD และจะฟื้นตัวใน 2H67 เราประเมินว่า SSS ของ GLOBAL จะลดลง 2% YoY ใน 2Q67TD โดยลดลง 1% YoY ในเดือนเม.ย. และ 2-3% YoY ในเดือนพ.ค. (ตัวเลขที่ติดลบในช่วงครึ่งหลังของเดือนพ.ค. เนื่องจากฝนที่ตกหนักส่งผลกระทบทำให้กิจกรรมการก่อสร้างหยุดชะงัก ไปหักล้างตัวเลขที่เป็นบวกในช่วงครึ่งแรกของเดือนพ.ค.) ในขณะที่ SSS หดตัว YoY ในอัตราที่น้อยกว่า -5% YoY ใน 1Q67 โดยมีสาเหตุมาจาก: 1) ผลกระทบจากราคาเหล็กที่กลับสู่ภาวะปกติ ราคาเหล็กเส้นในประเทศลดลง 5% YoY แต่เพิ่มขึ้น 2% QoQ ใน 2Q67TD (เทียบกับ -10% YoY แต่ทรงตัว QoQ ใน 1Q67) และผลิตภัณฑ์เหล็กคิดเป็น 15% ของยอดขายรวมของ GLOBAL; 2) การกลับมาเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเดือนพ.ค. 2567 ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (ต.ค. 2566 – เม.ย. 2567) การเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐลดลงมากกว่า 50% YoY หลังจากมีการผ่านงบประมาณประจำปี 2567 ในช่วงสิ้นเดือนเม.ย. และการผ่านงบประมาณประจำปี 2568 ตามปกติ การเบิกจ่ายสำหรับช่วงปลาย 2Q67 และ 2H67 มีแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนให้ SSS ของ GLOBAL ฟื้นตัว YoY วางแผนเร่งขยายสาขาในปี 2567 ในปี 2567 GLOBAL วางแผนเร่งขยายสาขา โดยจะเปิดสาขาใหม่ 8 สาขาในประเทศไทย (ประกอบด้วย 1 สาขาใน 1Q67, 3 สาขาใน 2Q67 และ 4 สาขาใน 4Q67 เทียบกับ 83 สาขาเมื่อสิ้นปี 2566) และ 1 สาขาในจังหวัดพระตะบองในกัมพูชา (เปิดไปแล้วใน 1Q67 เทียบกับ 1 สาขาเมื่อสิ้นปี 2566) ในประเทศไทย GLOBAL ได้เปิดสาขาใหม่ขนาดเล็กที่คอมมูนิตี้มอลล์ “เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9” โดยมีพื้นที่ขาย 2,900 ตร.ม./สาขา ใน 1Q67 และปัจจุบันยังไม่มีแผนเปิดสาขาเพิ่ม บริษัทตั้งเป้าที่จะเปิดร้านขนาดใหญ่สำหรับสาขาใหม่ที่เหลือด้วยพื้นที่ขาย 12,000 ตร.ม./สาขาในช่วงที่เหลือของปี 2567 สำหรับบริษัทร่วม บริษัทวางแผนที่จะเร่งขยายสาขาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดที่เติบโตมากขึ้นในต่างประเทศ โดยตั้งเป้าเปิดสาขาเพิ่มอีก 4 สาขาในลาว (เทียบกับ 7 สาขา ณ สิ้นปี 2566) 3 สาขาในเมียนมา (เทียบกับ 12 สาขา ณ สิ้นปี 2566) และ 4 สาขาในอินโดนีเซีย (เทียบกับ 13 สาขา ณ สิ้นปี 2566) GLOBAL ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไรจากร้านค้าในต่างประเทศเป็น 10% ของกำไรทั้งหมด ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า จากตัวเลขหลักเดียวระดับกลางในปี 2566 (มีความสามารถในการทำกำไรได้หมดในทุกประเทศ) ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กและรายได้เกษตรกร และนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ (E) แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S) | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก GLOBAL240612_T
|