กำไรสุทธิ 2Q67 อยู่ที่ 765 ลบ. เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 6% QoQ สูงกว่าตลาดคาดจากอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่สูงกว่าคาด เนื่องจากเราประเมินได้ว่า SSS ใน 3Q67 จะหดตัว YoY ในอัตราที่ชะลอตัวลงจาก 2Q67 จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณก่อนสิ้นสุดปีงบประมาณ 2567 (สิ้นสุดเดือนก.ย.) และมาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการมียอดขายสินค้า private brand ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้นจากการเติมสต๊อกสินค้าได้ดีขึ้น เราจึงคาดว่ากำไร 3Q67 อย่างน้อยจะอยู่ในระดับทรงตัว หรือเพิ่มขึ้น YoY (จะลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล) การเบิกจ่ายงบประมาณตามปกติในปีงบประมาณ 2568 (เทียบกับฐานต่ำของปีก่อน) และการเปิดสาขาใหม่ 4 สาขาตามแผนใน 4Q67 จะหนุนให้กำไร 4Q67 เติบโต YoY ต่อเนื่อง เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ GLOBAL โดยให้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 18.5 บาท กำไรสุทธิ 2Q67 อยู่ที่ 765 ลบ. +9% YoY และ +6% QoQ สิ้นสุดการมีกำไรลดลงในช่วง 6 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยกำไรออกมาสูงกว่าตลาดคาด 7% จากอัตรากำไรขั้นต้นและส่วนแบ่งกำไรที่สูงกว่าคาด กำไรที่ปรับตัวดีขึ้น YoY เกิดจากยอดขายที่ดีขึ้นจากการขยายสาขาซึ่งช่วยชดเชย SSS ที่หดตัวลง (-2.3% YoY) อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนที่สูงขึ้น รายการที่สำคัญใน 2Q67รายได้ เติบโต 3% YoY สู่ 8.7 พันลบ. เนื่องจากการขยายสาขาช่วยชดเชย SSS ที่หดตัวลง โดยใน 2Q67 SSS หดตัวลง 2.3% YoY (เทียบกับ -9.5% YoY ใน 2Q66 และ -5.3% YoY ใน 1Q67) จาก: 1) ปริมาณการขายสินค้าวัสดุก่อสร้าง (30-35% ของยอดขายรวม) ที่ลดลงจากกิจกรรมการก่อสร้างในต่างจังหวัดที่เงียบเหงาซึ่งเป็นผลมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐที่ชะลอตัวลง (-7% YoY ในเดือนมิ.ย. เนื่องจากได้รับผลกระทบจากฝนที่ตกหนัก และ -22% YoY ในเดือนเม.ย. ก่อนที่จะมีการผ่านงบประมาณปี 2567 ในช่วงสิ้นเดือนเม.ย.); 2) ยอดขายสินค้า private brand ที่ลดลงจากปัญหาการเติมสต๊อกสินค้าในบางสาขา (ได้รับผลกระทบเต็มไตรมาสใน 1Q67 แต่สถานการณ์ดีขึ้นหลังจากมีการจัดส่งสินค้าตามคำสั่งซื้อใหม่ในช่วงปลาย 2Q67) ซึ่งทำให้สัดส่วนยอดขายสินค้า private brand ต่อยอดขายรวมลดลง YoY มาอยู่ที่ 23.5% (เทียบกับ 24% ใน 2Q66 และ 23% ใน 1Q67); 3) ราคาสินค้าเหล็กที่ลดลง YoY ราคาสินค้าเหล็กในประเทศลดลง 5% YoY และเพิ่มขึ้น 3% QoQ ใน 2Q67 (สินค้าเหล็กคิดเป็น 15% ของยอดขายรวม) ทั้งนี้ใน 2Q67 GLOBAL เปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ส่งผลทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 89 สาขา (+11% YoY และ +3% QoQ ประกอบด้วย 87 สาขาในประเทศไทย และ 2 สาขาในประเทศกัมพูชา) ณ สิ้น 2Q67 อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นสู่ 26.6% (+120bps YoY และ +160bps QoQ) ปรับตัวดีขึ้นจากการลดการจัดโปรโมชั่นราคาสินค้า private brand การมียอดขายสินค้า private brand ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้น QoQ และมาร์จิ้นสินค้าเหล็กที่ดีขึ้น QoQ (ประเมินได้ที่ +30bps QoQ โดยอิงกับมาร์จิ้นสินค้าเหล็กที่ 12-13% จากเดิมที่ 10-11%) อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขาย เพิ่มขึ้น 130bps YoY สู่ 18.1% เนื่องจากค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น (+11% YoY) จากการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน เพิ่มขึ้นสู่ 61 ลบ. (+186% YoY, +21% QoQ) จากกำไรที่ดีขึ้นจากร้านในประเทศเมียนมา ท่ามกลางกำไรในระดับทรงตัวจากร้านในประเทศลาวและประเทศอินโดนีเซีย แนวโน้มกำไร ในช่วงครึ่งแรกของเดือนก.ค. เราคาดว่า SSS ลดลง 3% YoY จากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ชะลอตัวท่ามกลางฝนที่ตกหนัก อย่างไรก็ดี เรายังคาดการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในช่วงที่เหลือของ 3Q67 ก่อนที่จะสิ้นสุดปีงบประมาณ 2567 และราคาเหล็กที่ไม่เปลี่ยนแปลง YoY จากฐานปกติของปีก่อน จะทำให้ SSS ใน 3Q67 ลดลง YoY ในอัตราที่ชะลอตัวลงจาก 2Q67 เมื่อรวมกับมาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากการมียอดขายสินค้า private brand ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางการเติมสต๊อกสินค้าได้ดีขึ้นจะส่งผลทำให้กำไรอยู่ในระดับทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น YoY ใน 3Q67 (ลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล) การเบิกจ่ายงบประมาณตามปกติในปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567-ก.ย. 2568) ท่ามกลางฐานต่ำในช่วงต้นปีงบประมาณ 2567 และการเปิดสาขาใหม่ 4 สาขาตามแผนใน 4Q67 จะหนุนให้กำไร 4Q67 เติบโต YoY ต่อเนื่อง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กและรายได้เกษตรกร และนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ (E) แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก GLOBAL240726_Tl
|