กำไรปกติ 4Q66 อยู่ที่ 560 ลบ. -16% YoY แต่ +7% QoQ เป็นไปตาม INVX คาด แต่สูงกว่า consensus คาด 10% กำไรปกติที่ลดลง YoY เป็นเพราะ SSS หดตัวลงเนื่องจากปริมาณการขายและราคาวัสดุก่อสร้างอ่อนแอ ทั้งนี้ ด้วย SSS ที่หดตัวในอัตราชะลอตัวลงเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY ในเดือนม.ค. ท่ามกลางมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น เราจึงคาดว่ากำไร 1Q67 จะลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล เราคาดว่ากำไรมีแนวโน้มเติบโต YoY ตั้งแต่ 2Q67 เป็นต้นไป โดยได้รับการสนับสนุนจาก SSS ที่จะกลับมาเติบโตได้จากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐเพิ่มมากขึ้น ผลกระทบที่ลดน้อยลงจากราคาเหล็กที่ลดลง และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ GLOBAL โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่กลางปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.1% และการเติบโตระยะยาว 2.5%) ที่ 19.2 บาท (จากราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 18.5 บาท) ราคาเป้าหมายของเราจะถูกปรับเป็น 18.5 บาท หลัง XD วันที่ 23 ก.พ. เมื่อเรารวมเอาหุ้นใหม่จากการจ่ายปันผลเป็นหุ้นเข้ามา กำไรสุทธิ 4Q66 อยู่ที่ 560 ลบ. +6% YoY และ +7% QoQ เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ แต่สูงกว่า consensus คาด 10% เพราะอัตรากำไรขั้นต้น เนื่องจากไม่มีรายการพิเศษใน 4Q66 (เทียบกับค่าใช้จ่ายสินค้าล้าสมัยที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจำนวน 138 ลบ. ใน 4Q65) กำไรปกติ 4Q66 จึงอยู่ที่ 560 ลบ. -16% YoY แต่ +7% QoQ กำไรปกติที่ลดลง YoY ถูกฉุดรั้งโดยยอดขายที่ลดลง ในขณะที่กำไรเพิ่มขึ้น QoQ สะท้อนถึงมาร์จิ้นกว้างขึ้น GLOBAL ประกาศจ่ายปันผลเป็นเงินสดที่ 0.174 บาท/หุ้น และหุ้นปันผลที่อัตรา 25 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผล (XD วันที่ 23 ก.พ.) รายการที่สำคัญใน 4Q66รายได้ ลดลง 9% YoY สู่ 7.5 พันลบ. โดยใน 4Q66 SSS หดตัวลง 12.3% YoY (เทียบกับ -2.2% YoY ใน 4Q65 และ -12.3% YoY ใน 3Q66) โดยเกิดจาก: 1) ราคาสินค้าเหล็กที่ลดลง โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่าใน 4Q66 ราคาสินค้าเหล็กในประเทศ (ใช้ราคาเหล็กเส้นและราคาเหล็กตัวซีในประเทศเป็นตัวอ้างอิง) ลดลง 10% YoY และ 2% QoQ; 2) ปริมาณการขายสินค้าเหล็ก (15% ของยอดขายรวม) และผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างหลังคา ผนัง และซีเมนต์ (15-20% ของยอดขาย) ที่ลดลงในอัตราเลขตัวเดียวระดับสูงถึงเลขสองหลัก YoY จากกิจกรรมการก่อสร้างในต่างจังหวัดที่เงียบเหงาเนื่องจากกำลังซื้ออ่อนแอและการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐที่ลดลง ทั้งนี้ใน 4Q66 GLOBAL เปิดสาขาใหม่ 2 สาขา ส่งผลทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งสิ้น 84 สาขา (+8% YoY และ +2% QoQ) ณ สิ้น 4Q66 อัตรากำไรขั้นต้น อยู่ที่ 26.1% +130bps YoY และ +20bps QoQ โดยเกิดจาก 1) ยอดขายสินค้า private brand ที่ให้มาร์จิ้นสูงที่ปรับตัวดีขึ้นที่ 24% ของยอดขาย (เทียบกับ 23.5% ใน 3Q66 และ 24.7% ใน 4Q65) โดยที่มีการปรับราคาสินค้า private brand ขึ้นเล็กน้อยใน 4Q66; 2) มาร์จิ้นที่ทรงตัว QoQ สำหรับสินค้าเหล็ก อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขาย เพิ่มขึ้น 240bps YoY สู่ 18.9% เนื่องจากค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้น (+5% YoY) โดยมีค่าใช้จ่ายจากการขยายสาขาเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางยอดขายที่อ่อนตัวลง ดอกเบี้ยจ่าย อยู่ที่ 81 ลบ. +50% YoY และ +14% QoQ จากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น แนวโน้มกำไร ในเดือนม.ค. เราประเมินได้ว่า SSS ของ GLOBAL หดตัวในอัตราชะลอตัวลงเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับกลาง YoY (เทียบกับ -12.3% YoY ใน 4Q66) เพราะปริมาณการขายลดลงในอัตราชะลอตัวลง ท่ามกลางราคาเหล็กที่ยังคงลดลง 10% YoY ทั้งนี้ จาก SSS ที่หดตัวลงไปหักล้างมาร์จิ้นที่ดีขึ้น เราจึงคาดว่ากำไร 1Q67 จะลดลง YoY แต่เพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ในขณะที่กำไรมีแนวโน้มที่จะกลับมาเติบโต YoY ตั้งแต่ 2Q67 จาก: 1) SSS ที่กลับมาเติบโตจากการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนภาครัฐเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ค. และผลกระทบที่ลดน้อยลงของราคาเหล็กที่ลดลงจากฐานต่ำของปีก่อนสำหรับช่วงที่เหลือของปีนี้; 2) มาร์จิ้นที่ดีขึ้นจากสินค้ามาร์จิ้นสูงที่เพิ่มขึ้น ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็กและรายได้เกษตรกร อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ (E) แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S) | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก GLOBAL240213_T
|