กำไรสุทธิ 1Q66 ของ GPSC อยู่ที่ 1.1 พันลบ. (+257% YoY และฟื้นตัวจากขาดทุนใน 4Q65) ดีกว่าตลาดคาด โดยได้แรงหนุนจากราคาขายไฟฟ้าลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) ที่ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากรัฐบาลได้ปรับค่า Ft สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ (ที่ไม่ใช่ประเภทบ้านอยู่อาศัย) เพิ่มขึ้นจาก 0.9343 บาท/kWh สู่ 1.5492 บาท/kWh สำหรับงวดเดือนม.ค.-เม.ย. 2566 และต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลง กำไรสุทธิที่ไม่รวมค่าตัดจำหน่ายก็เพิ่มขึ้นจาก 21 ลบ. ใน 4Q65 สู่ 1.6 พันลบ. ใน 1Q66 ทั้งๆ ที่มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า GHECO-One ตามแผนและกำไรจาก XPCL (โรงไฟฟ้าพลังน้ำ) ลดลง กำไร 2Q66 จะยังคงมีโมเมนตัมเชิงบวก แม้ว่าค่า Ft จะปรับลดลงสู่ 0.9119 บาท/kWh เนื่องจากจะได้รับการชดเชยจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง เรายังคงประมาณการเต็มปีไว้เหมือนเดิม โดยคว่ากำไรจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในปี 2566 เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ GPSC ด้วยราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ที่ 84 บาท/หุ้น
การหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า GHECO-One ส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อย กำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPP อยู่ในระดับทรงตัว QoQ แม้ว่าปริมาณการขายไฟฟ้าลดลง 67% QoQ สู่ 838GWh โดยมีสาเหตุมาจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า GHECO-One ตามแผนเป็นเวลา 54 วัน เนื่องจากได้แรงหนุนจากยอดขายไฟฟ้าที่สูงขึ้นจากโรงไฟฟ้าห้วยเหาะ (โรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาว) และรายได้ค่าความพร้อมจ่ายที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าศรีราชา อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ IPP เพิ่มขึ้นจาก 11% ใน 4Q65 สู่ 27% เพราะต้นทุนสต๊อกถ่านหินสำหรับโรงไฟฟ้า GHECO-One ลดลง
กำไรของธุรกิจ SPP เพิ่มขึ้น เพราะมาร์จิ้นกว้างขึ้น ค่า Ft ที่ปรับเพิ่มขึ้นจาก 0.9343 บาท/kWh สู่ 1.5492 บาท/kWh ใน 1Q66 และต้นทุนก๊าซและถ่านหินที่ลดลงช่วยหนุนให้อัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจ SPP ของ GPSC เพิ่มขึ้นจาก 4% ใน 4Q65 สู่ 15% ใน 1Q66 ต้นทุนถ่านหินลดลง 9% QoQ แต่ยังคงเพิ่มขึ้น 118% YoY ในขณะที่ต้นทุนก๊าซลดลง 5% QoQ สู่ 505 บาท/mmbtu กำไรขั้นต้นของธุรกิจ SPP เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 121.7% YoY และ 255.4% QoQ แม้ว่าปริมาณการขายไอน้ำลดลง 17.7% YoY และ 5.2% QoQ โดยมีสาเหตุมาจากอุปสงค์ที่ลดลงจากลูกค้าอุตสาหกรรมในธุรกิจปิโตรเคมี
กำไรจากบริษัทร่วมลดลงต่อเนื่องใน 1Q66 กำไรจากบริษัทร่วมลดลง 21% YoY และ 60% QoQ โดยมีสาเหตุมาจากส่วนแบ่งขาดทุนจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (ถือหุ้น 25%) เพราะปัจจัยฤดูกาล และจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไต้หวัน (CFXD) ซึ่งได้รับการชดเชยบางส่วนจากส่วนแบ่งกำไรจาก Avaada (ถือหุ้น 42%) ที่ 128 ลบ. เทียบกับขาดทุน 36 ลบ. ใน 4Q65 สะท้อนถึงการบันทึกส่วนต่างรายได้ค่าไฟฟ้าจากโครงการที่ดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วบางโครงการ (รวมถึงจำนวนย้อนหลัง 64 ลบ.) และกำลังการผลิตดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น
น่าจะยังคงมีโมเมนตัมเชิงบวกใน 2Q66 เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ GPSC สืบเนื่องมาจากแรงกดดันจากต้นทุนพลังงานที่ลดลง โมเมนตัมเชิงบวกนี้จะเกิดขึ้นต่อเนื่องใน 2Q66 แม้ว่าจะมีการปรับค่า Ft ลดลงสู่ 0.9119 บาท/kWh สำหรับงวดเดือนพ.ค.-ส.ค. 2566 ราคา LNG คาดว่าจะค่อยๆ ลดลงหลังจากทำจุดสูงสุดในเดือนม.ค. 2566 และมีก๊าซจากแหล่งในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ราคาถ่านหินก็คาดว่าจะลดลงอีกจาก US$385/ตัน ใน 1Q66 สู่ราคาเฉลี่ย <US$300/ตัน ในปี 2566 ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอินเดีย (AEPL) จะพลิกกลับมามีกำไรที่ 200 ลบ. ในปี 2566 โดยอิงกับกำลังการผลิตดำเนินงานในปัจจุบัน เทียบกับขาดทุนสุทธิ 301 ลบ. ในปี 2565 ส่วนแบ่งกำไรจากการถือหุ้น 25% ใน CFXD ในปี 2566 คาดว่าจะอยู่ที่ 100-150 ลบ. โดยที่กำลังการผลิตทั้งหมดจะดำเนินการเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2566 เรายังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้เหมือนเดิม และคงราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ไว้ที่ 84 บาท
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: ต้นทุนเชื้อเพลิงสูงกว่าคาด การเลื่อนปรับค่า Ft ผลตอบแทนจากโครงการลงทุนใหม่ต่ำกว่าคาด และการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม GPSC230509_T