กำไรสุทธิ 4Q66 ของ GULF อยู่ที่ 4.7 พันลบ. เพิ่มขึ้น 42% QoQ เพราะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่กำไรปกติอยู่ในระดับทรงตัว QoQ และเพิ่มขึ้น 17% YoY ส่งผลทำให้กำไรสุทธิปี 2566 อยู่ที่ 1.49 หมื่นลบ. (+30%) และกำไรปกติอยู่ที่ 1.56 หมื่นลบ. (+29%) ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนกำไร 4Q66 คือ หน่วยผลิตไฟฟ้าใหม่ของ Gulf PD (โรงไฟฟ้า IPP) แต่ถูกลดทอนโดยยอดขายให้ลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรก็เพิ่มขึ้น 57% YoY และ QoQ โดยหลักๆ ได้แรงหนุนจากส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH เราคาดว่ากำไร 1Q67 จะปรับตัวดีขึ้น QoQ เมื่อความต้องการใช้ไฟฟ้าของลูกค้าอุตสาหกรรมฟื้นตัวหลังจากผ่านช่วงโลว์ซีซั่นใน 4Q66 บวกกับหน่วนผลิตไฟฟ้าอีกหนึ่งหน่วยของ Gulf PD จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมี.ค. 2567 เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ GULF โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 63 บาท เพราะกำไรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากการมีกำลังการผลิตดำเนินงานเพิ่มเติมและส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ รวมถึง INTUCH และ THCOM จะเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ GULF ยังประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2566 ที่อัตรา 0.88 บาท/หุ้น (XD: 28 ก.พ.) คิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผล 69% เพิ่มขึ้นจาก 62% ในปี 2565 ปริมาณการขายของโรงไฟฟ้าทั่วไปอยู่ในระดับทรงตัง QoQ แม้ว่ามีหน่วย IPP ใหม่ รายได้จากโรงไฟฟ้าก๊าซเพิ่มขึ้น 11% YoY เนื่องจากกำลังการผลิตดำเนินงานของโรงไฟฟ้า IPP (Gulf PD) เพิ่มขึ้น โดยหน่วยที่ 1-2 ของ GULF IPP เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือนมี.ค. 2566 และต.ค. 2566 ซึ่งช่วยหนุนให้ปริมาณไฟฟ้าที่ขายให้ กฟผ. เพิ่มขึ้น 4.5% YoY (แม้ลดลง 3.7% QoQ เพราะความต้องการใช้ไฟฟ้าลดลง) ทั้งนี้แม้ปริมาณการขายไฟฟ้าจากหน่วยที่ 2 เพิ่มขึ้น แต่รายได้จากโรงไฟฟ้าก๊าซอยู่ในระดับทรงตัว QoQ เนื่องจากความต้องการใช้ไฟฟ้าจากลูกค้าอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงโลว์ซีซั่น โดยปริมาณการขายลดลง 6.4% QoQ และราคาขายไฟฟ้าลดลง 11.2% QoQ เพราะค่า Ft ลดลง รายได้จากธุรกิจพลังงานหมุนเวียนได้แรงหนุนจากโครงการใหม่ รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (ไม่รวม BKR2) เพิ่มขึ้น 32.3% YoY และ 19.2% QoQ นำโดยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (ภายใต้ GULF1) รายได้จากการให้บริการก่อสร้างแก่ลูกค้าอุตสาหกรรม และการบริหารจัดการขยะที่โครงการ CMWTE กำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นจาก 565MW (สิ้นเดือนก.พ. 2566) สู่ 4,486MW (สิ้นเดือนธ.ค. 2566) หลังจากที่มีการลงนามใน PPA สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำในลาวและโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยเพิ่มเติม บวกกับการเข้าซื้อโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมนอกชายฝั่งในสหราชอาณาจักร โครงการเหล่านี้จะทยอยเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2567-2576 ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมและการร่วมค้าเพิ่มขึ้น QoQ ส่วนแบ่งกำไรโดยรวมจากบริษัทร่วมและการร่วมค้า (ไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 750 ลบ) เพิ่มขึ้น 56.6% YoY และ 56.9% QoQ หากตัดผลกระทบของกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนออกไป ส่วนแบ่งกำไรปกติเพิ่มขึ้น 100.3% YoY และ 14.4% QoQ หลักๆ ได้แรงหนุนจาก INTUCH (+82% YoY, +9% QoQ) นอกจากนี้ Jackson Generation ในสหรัฐฯ ก็บันทึกกำไรเพิ่มขึ้น 78% QoQ แม้ถูกลดทอนลงบ้างโดยขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากตราสารอนุพันธ์ การร่วมค้าอื่นๆ รายงานกำไรลดลง QoQ จากอุปสงค์ที่ต่ำตามฤดูกาล คาดกำไรปกติเพิ่มขึ้น QoQ ใน 1Q67 จากกำลังการผลิตใหม่ของโรงไฟฟ้า IPP กำไรปกติ 1Q67 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยได้แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า IPP อีกหนึ่งแห่ง คือ GPD ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 2,650MW หน่วยที่ 3 ของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ (662.5MW) จะเริ่มดำเนินการในเดือนมี.ค. 2567 หลังจากสองหน่วยแรกเริ่มดำเนินการไปแล้วในปี 2566 นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจาก Jackson Generation ก็จะเพิ่มขึ้น QoQ จากอุปสงค์ที่สูงขึ้นซึ่งจะหนุนให้ราคาขายไฟฟ้าในสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้น ส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH จะช่วยสนับสนุนกำไรปี 2567 อย่างต่อเนื่อง โดยได้รับการสนับสนุนจากส่วนแบ่งกำไรที่มีเสถียรภาพปีละ 5 พันลบ.± เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรที่แข็งแกร่งของ GULF และคงราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ไว้ที่ 63 บาท/หุ้น ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการใหม่ต่ำกว่าคาด แต่ผลงานที่ดีเยี่ยมของ GULF ในการพัฒนาโครงการให้แล้วเสร็จตามกำหนดและเป็นไปตามงบประมาณที่วางไว้จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ 2) ยอดขายไฟฟ้าและไอน้ำของโครงการโรงไฟฟ้า SPP ให้แก่ลูกค้าอุตสาหกรรม อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่อ่อนแอและต้นทุนเชื้อเพลิงสูง และความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศที่โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก GULF240219_T
|