กำไรสุทธิ 1Q67 ของ IVL อยู่ที่ 1.1 พันลบ. ฟื้นตัวจากขาดทุนสุทธิ 1.24 หมื่นลบ. ใน 4Q66 ซึ่งเป็นช่วงที่บริษัทได้รับผลกระทบจากการรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์สำหรับโครงการ Corpus Christi จำนวนเกือบ 9 พันลบ. (หลังภาษี) และเพิ่มขึ้น 11% YoY กำไรได้รับการสนับสนุนจาก adjusted EBITDA/t ที่แข็งแกร่งขึ้นสู่ US$106/ตัน (+33% QoQ แต่ -2% YoY) และปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น (+2% YoY และ +3% QoQ) หลักๆ ได้แรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจ integrated PET (70% ของการเติบโตของปริมาณการขาย) ผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นว่าอุปสงค์จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปอันเป็นผลมาจากการผ่อนคลายการลดระดับสินค้าคงคลังในตลาด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคยังไม่เกื้อหนุน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับสูง IVL ยังคงเดินหน้าเชิงกลยุทธ์ในการลดต้นทุนคงที่ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงาน โดยมีโรงงานจำนวนมากขึ้นที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบเพื่อลดขนาดและระงับการผลิต เราคาดว่าผลประกอบการของ IVL จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในปี 2567 แต่การฟื้นตัวของกำไร 1Q24 ยังคงเป็นไปอย่างช้าๆ ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลง 41% สู่ 1 หมื่นลบ. นอกจากนี้เรายังปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 32 บาท สู่ 30 บาท อ้างอิง PBV (ปี 2567) ที่ 1 เท่า หรือ -1.5SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี คงคำแนะนำ NEUTRAL Adjusted EBITDA ปรับตัวดีขึ้น 32% QoQ โดยได้แรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจ CPET adjusted EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ CPET (รวมธุรกิจ intermediate chemicals) ซึ่งคิดเป็น 68% ของ adjusted EBITDA ทั้งหมด เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนผลประกอบการ 1Q67 ซึ่งเป็นผลมาจากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นของ adjusted EBITDA/t ที่ US$92/ตัน เพิ่มขึ้น 34% QoQ โดยได้แรงหนุนจากมาร์จิ้นที่แข็งแกร่งในตลาดตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรป ซึ่งเป็นผลมาจากการเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าจากจีนและต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงขึ้นจากวิกฤตทะเลแดง แม้ว่าจะมีการปรับราคาในสหรัฐฯ ก็ตาม นอกจากนี้ กำไรของธุรกิจ intermediate chemicals ก็ปรับตัวดีขึ้น QoQ หลักๆ เกิดจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ MTBE ที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้บริษัทได้ปรับโครงสร้างพอร์ตธุรกิจโดยการโอนธุรกิจ intermediate chemicals จากกลุ่มธุรกิจ IOD ไปยังกลุ่มธุรกิจ CPET เพื่อเตรียมความพร้อมของกลุ่มธุรกิจ IOD ซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็น "Indovinya" สำหรับการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ กลุ่มธุรกิจ Fibers มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นใน 1Q67 adjusted EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Fibers ก็ปรับตัวดีขึ้น 73% QoQ และ 2% YoY หลักๆ ได้แรงหนุนจากสายธุรกิจ Hygiene ซึ่งสะท้อนถึงอุปสงค์ที่ดีขึ้นและการผ่อนคลายการลดระดับสินค้าคงคลัง adjusted EBITDA/t ของสายธุรกิจ Hygiene ก็เพิ่มขึ้น 182% QoQ ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันการคิดราคาที่แตกต่างเฉพาะตัวให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในทวีปอเมริกา รวมถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม อย่างไรก็ตาม adjusted EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Fibers ยังคงคิดเป็นสัดส่วนเพียง 11% ของ adjusted EBITDA ทั้งหมด “Indovinya” เป็นธุรกิจสารลดแรงตึงผิวของกลุ่มธุรกิจ IOD IVL ได้ปรับโครงสร้างกลุ่มธุรกิจ IOD โดยแบ่งออกเป็นธุรกิจสารลดแรงตึงผิวและธุรกิจผลิตภัณฑ์ขั้นกลาง โดยธุรกิจสารลดแรงตึงผิวอยู่ภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า Indovinya ซึ่งเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศ adjusted EBITDA ของ Indovinya อยู่ในระดับทรงตัว QoQ แต่ลดลง 27% YoY เนื่องจากลูกค้าชะลอการสั่งซื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจ crop solution และธุรกิจ coating แม้ว่าการลดระดับสินค้าคงคลังจะผ่อนคลายลง adjusted EBITDA/t ของ Indovinya อยู่ที่ US$200/ตัน ลดลง 25% YoY และ 3% QoQ แม้ว่าจะสะท้อนถึงผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยมเมื่อเทียบกับ <US$100/ตัน ของกลุ่มธุรกิจ CPET และกลุ่มธุรกิจ Fiber ผลประกอบการ 2Q67 น่าจะปรับตัวดีขึ้น QoQ เราคาดว่าผลประกอบการของ IVL จะปรับตัวดีขึ้น QoQ ใน 2Q67 จากปริมาณการขายที่ดีขึ้นที่ 3.83 ล้านตัน (+8% QoQ) ตามที่บริษัทกล่าวไว้ IVL กำลังพิจารณาปรับอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานอีก 5 แห่ง นอกเหนือจากโรงงาน Corpus Christi และ PTA ในโปรตุเกส ผู้บริหารยืนยันแผนลดต้นทุนคงที่ลง US$190 ล้านจากแผนเพิ่มประสิทธิภาพนี้ อย่างไรก็ตาม เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลดลง 41% เพื่อสะท้อนการปรับสมมติฐาน Core EBITDA/t ลดลงจาก US$113/ตัน สู่ US$96/ตัน ซึ่งเป็นผลมาจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด ปรับราคาเป้าหมายลดลงสู่ 30 บาท/หุ้น เรายังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ IVL โดยปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 32 บาท สู่ 30 บาท อ้างอิง PBV (ปี 2567) ที่ 1 เท่า หรือ -1.5SD ของค่าเฉลี่ย 5 ปี ซึ่งคิดเป็น EV/EBITDA (ปี 2567) ที่ 6.8 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 9.6 เท่า ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) อุปสงค์ที่อ่อนแอลง 2) การเพิ่มประสิทธิภาพของสินทรัพย์ใหม่ได้น้อยกว่าคาด และ 3) การเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พลาสติก ปัจจัยเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ ผลกระทบของธุรกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจหมุนเวียน |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก IVL240513_T
|