KEX รายงานขาดทุนปกติ 1.1 พันลบ. ใน 2Q67 แย่กว่าขาดทุนปกติ 968 ลบ. ใน 1Q67 และใกล้เคียงกับขาดทุนปกติ 1.1 พันลบ. ใน 2Q66 เรามองว่าโมเมนตัมอ่อนแอกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการขาดทุนปกติปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 4.5 พันลบ. (จากเดิมที่คาดขาดทุนปกติ 3.3 พันลบ.) หลังจากปรับสมมติฐานการเติบโตของปริมาณการจัดส่งพัสดุลดลง เราคงคำแนะนำ UNDERPERFORM สำหรับ KEX และปรับราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.8% และ LTG 1.5%) ลดลงจาก 3.9 บาท/หุ้น สู่ 1.7 บาท/หุ้น เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรลดลงและจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มทุน (RO) ราคาหุ้นจะ underperform ตลาดอย่างต่อเนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอและยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะพลิกกลับมามีกำไร ขาดทุนปกติ 2Q67 เพิ่มขึ้น QoQ และ YoY KEX รายงานขาดทุนสุทธิ 1.1 พันลบ. ใน 2Q67 เทียบกับขาดทุนสุทธิ 1.2 พันลบ. ใน 1Q67 และขาดทุนสุทธิ 1.1 พันลบ. ใน 1Q66 โดยใน 1Q67 KEX ได้บันทึกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียวจำนวน 220 ลบ. จากการเปลี่ยนแปลงประมาณการทางบัญชีและการตั้งสำรองด้อยค่าของสินทรัพย์ถาวร หากหักรายการนี้ออกไป พบว่าขาดทุนปกติใน 2Q67 เพิ่มขึ้น QoQ ขาดทุนปกติ 1H67 สูงกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ก่อนหน้านี้เราคาดการณ์ขาดทุนปกติปี 2567 ที่ 3.3 พันลบ. ปริมาณการจัดส่งพัสดุเพิ่มขึ้น QoQ แต่ลดลง YoY KEX กล่าวว่าปริมาณการจัดส่งพัสดุเพิ่มขึ้น 5% QoQ แต่ลดลง 11% YoY ใน 2Q67 การปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของผู้ใช้บริการในกลุ่ม C2C และกลุ่ม SKA จากฤดูผลไม้ ในขณะที่การปรับตัวลดลง YoY เกิดจากการลดลงของผู้ใช้บริการในทุกกลุ่มซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์ลดการพึ่งพาแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และมุ่งเน้นไปที่ผู้ใช้บริการที่ให้ผลตอบแทนสูงมากขึ้น โดยใน 2Q67 สัดส่วนรายได้จากผู้ใช้บริการประเภท C2C อยู่ที่ 47% (จาก 46% ใน 1Q67), SKA อยู่ที่ 39% (จาก 40%) และ CKA อยู่ที่ 10% (จาก 11%) ภาพรวมการประชุมเป็นลบ KEX จัดประชุมนักวิเคราะห์หลังประกาศผลประกอบการ 2Q67 ใน 2H67 KEX จะบันทึกต้นทุนการรีแบรนด์ เนื่องจากบริษัทจะดำเนินการรีแบรนด์จาก Kerry Express เป็น “KEX” ในระหว่างเดือนส.ค. 2567 ถึงเดือนก.พ. 2568 โดยผู้บริหารยังไม่ได้ระบุต้นทุนที่ชัดเจน นอกจากนี้การเข้ามาของ Temu ในประเทศไทย (แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ) จะสร้างแรงกดดันต่อมาร์ จิ้นของกลุ่ม SKA โดยผู้บริหารมองว่า Temu จะสร้างผลกระทบเชิงลบในระยะสั้นต่ออุตสาหกรรมการจัดส่งพัสดุ เนื่องจากจะทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงขึ้นสำหรับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และะจะกดดันให้ผู้ให้บริการจัดส่งพัสดุต้องปรับราคาค่าขนส่งลดลง ปรับประมาณการผลประกอบการและราคาเป้าหมายลดลง เนื่องจากเราคาดว่าขาดทุนปกติใน 3Q67 จะเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY จากต้นทุนการรีแบรนด์และแรงกดดันมาร์จิ้นต่อกลุ่ม SKA ดังนั้นเราจึงปรับสมมติฐานการเติบโตของปริมาณการจัดส่งพัสดุลดลงจากทรงตัว เป็น -15% ซึ่งส่งผลทำให้เราปรับประมาณการขาดทุนปกติปี 2567 เพิ่มขึ้นจาก 3.3 พันลบ. เป็น 4.5 พันลบ. นอกจากนี้เรายังปรับราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี DCF ลดลงสู่ 1.7 บาท/หุ้น (จาก 3.9 บาท) เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการผลประกอบการลดลงและหุ้นใหม่จากการเพิ่มทุน (RO) โดยที่เราใช้สมมติฐานว่าจะมีแค่ SF ที่จะจองซื้อ RO เนื่องจากราคา RO สูงกว่าราคาตลาด ซึ่งจะทำให้จำนวนหุ้นทั้งหมดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3,505 ล้านหุ้น จาก 1,743 ล้านหุ้น ในขณะที่เราไม่ได้นำเงินจากการเพิ่มทุนมาประเมินมูลค่าหุ้น เนื่องจากเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนส่วนใหญ่จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ปัจจัยเสี่ยงและความกังวล แรงกดดันด้านราคาจากอีคอมเมิร์ซสืบเนื่องมาจากการเข้ามาของ TEMU ในประเทศไทย ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการแบรนด์ และความปลอดภัยด้านไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล | ||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก KEX240816_T
|