หลังการประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ KKP และปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 85 บาท สู่ 81 บาท เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการ credit cost เพิ่มขึ้น สำหรับปี 2566 KKP ตั้งเป้าหมาย credit cost เพิ่มขึ้นเล็กน้อย การเติบโตของสินเชื่อโดดเด่นแต่ชะลอตัวลงเพราะมีท่าทีระมัดระวังมากขึ้น และ NIM แคบลง
Credit cost จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในปี 2566 KKP ตั้งเป้าหมาย credit cost (รวมขาดทุนจากการขายรถยึด แต่ไม่รวมรายการโอนกลับสำรองทั่วไป) เพิ่มขึ้นเล็กน้อยสู่ 2.2% ในปี 2566 เทียบกับ 2.1% ในปี 2565 (สอดคล้องกับเป้าหมายที่ธนาคารวางไว้ที่ 2%) ซึ่งแย่กว่าที่เราคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะลดลงเล็กน้อย ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการ credit cost (รวมขาดทุนจากการขายรถยึด) เพิ่มขึ้น 20 bps สู่ 2.1% ในปี 2566 และ 2% ในปี 2567 จาก 1.94% ในปี 2565 NPL ที่เร่งตัวขึ้นใน 2H65 เป็นเพราะแรงกดดันเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงส่งผลกระทบต่อลูกค้ากลุ่มเปราะบาง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและให้ผลตอบแทนสูง (หลักๆ เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง ซึ่งธนาคารปล่อยสินเชื่อกลุ่มนี้เพิ่มมากขึ้นในปี 2565) และบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายหนึ่ง (แต่มูลค่าหลักประกันมากกว่าสินเชื่อ) ทั้งนี้เพื่อรับมือกับปัญหาคุณภาพสินทรัพย์ KKP จึงปรับใช้นโยบายปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อที่เข้มงวดมากขึ้นมาตั้งแต่ 3Q65 และตั้งเป้าลดอัตราส่วน NPL ลงสู่ ~3.1% ภายในสิ้นปี 2566 จาก 3.3% (ตามการคำนวณของธนาคาร) ณ สิ้นปี 2565 จำนวนรถยึดเพิ่มขึ้น QoQ ใน 4Q65 โดย loss rate เพิ่มขึ้นจาก 32% ใน 3Q65 สู่ 36% ใน 4Q65 เนื่องจากราคารถยนต์มือสองลดลงหลังจากมีการบังคับใช้กฎหมายเช่าซื้อฉบับใหม่ซึ่งกำหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อรถยนต์มือสองไว้ที่ 15%
สินเชื่อเติบโตดี แต่ชะลอตัวลง KKP วางแผนชะลอการขยายสินเชื่อลงจาก 21.4% ในปี 2565 สู่ 13% ในปี 2566 ซึ่งต่ำกว่าประมาณการก่อนหน้านี้ของเราที่ 15% สะท้อนถึงการใช้นโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง KKP จะยังคงมุ่งเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกัน ซึ่งรวมถึงสินเชื่อเช่าซื้อและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และจะกลับมาขยายสินเชื่อ SME
NIM จะแคบลง ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นทำให้ KKP คาดว่า loan spread จะลดลง 40 bps จาก 5.4% ในปี 2565 สู่ 5% ในปี 2566 ทั้งนี้ KKP ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยคงที่สำหรับสินเชื่อเช่าซื้อเพิ่มขึ้น 20-35 bps ในเดือนม.ค. เราคาดว่า NIM จะหดตัวลง 6 bps ในปี 2566
ปรับประมาณการกำไรลดลง การปรับประมาณการ credit cost เพิ่มขึ้นส่งผลทำให้เราปรับประมาณการกำไรของ KKP ลดลง 6% ในปี 2566 และ 5% ในปี 2567 โดยคาดว่ากำไรจะเติบโต 6% ในปี 2566 และ 11% ในปี 2567
คงเรทติ้ง OUTPERFORM และปรับราคาเป้าหมายลดลง ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี สินเชื่อที่เติบโตโดดเด่น และ valuation ที่น่าสนใจ สนับสนุนให้เราคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ KKP ขณะที่ปรับราคาเป้าหมายลดลงจาก 85 บาท สู่ 81 บาท (1.1 เท่าของประมาณการ BVPS ปี 2566) เพื่อสะท้อนการปรับประมาณการ credit cost เพิ่มขึ้น โดยคุณภาพสินทรัพย์ยังคงเป็นสิ่งที่น่ากังวล
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 2) ความเสี่ยงด้านค่านายหน้าจากการที่รัฐบาลเสนอให้เก็บภาษีจากธุรกรรมการขายหุ้น และ 3) ผลกระทบจาก Fintech