MAKRO ตั้งเป้ายอดขายทั้งธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก YoY ในปี 2566 พร้อมกับอัตราการเติบโตของ SSS เป็นบวก ขยายสาขาเพิ่ม และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น สะท้อนถึง upside ต่อยอดขายที่เราคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 7% เราคาดว่ากำไรปกติ 4Q65 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY เนื่องจากยอดขายปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้นจะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล การรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จใน 1H66 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นในระยะถัดไป คงเรทติ้ง OUTPERFORM ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 43 บาท
MAKRO ตั้งเป้ายอดขายทั้งธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก YoY ในปี 2566 พร้อมกับอัตราการเติบโตของ SSS เป็นบวก ขยายสาขาเพิ่ม และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น สะท้อนถึง upside ต่อยอดขายที่เราคาดการณ์ไว้ว่าจะเติบโต 7% เราคาดว่ากำไรปกติ 4Q65 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว YoY เนื่องจากยอดขายปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ดีขึ้นจะช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่สูงขึ้น แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล การรีไฟแนนซ์หนี้เสร็จใน 1H66 จะเป็นปัจจัยกระตุ้นในระยะถัดไป คงเรทติ้ง OUTPERFORM ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 43 บาท
ตั้งเป้ายอดขายเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก YoY ในปี 2566 การขยายสาขา สำหรับธุรกิจ B2B MAKRO วางแผนเปิดสาขา 12 สาขาในประเทศไทย (Classic & Eco Plus 4 สาขา และ Food Service 4 สาขา) และ 6 สาขาในต่างประเทศ (ประเทศละ 1 สาขาในกัมพูชา และเมียนมา และประเทศละ 2 สาขาในจีน และอินเดีย) สำหรับธุรกิจ B2C บริษัทวางแผนเปิดซูเปอร์มาร์เก็ต 14 สาขาในมาเลเซีย และเปิดไฮเปอร์มาร์เก็ต 5 สาขา ซูเปอร์มาร์เก็ต 5 สาขา และ Go Fresh 200 สาขา รวมถึงขยายมอลล์ 19 แห่งในประเทศไทย ยอดขายผ่านช่องทาง omnichannel ด้วยการเพิ่มความสามารถในการจัดส่งในธุรกิจ B2B และระบบ IT ที่มีเสถียรภาพสำหรับแอปพลิเคชันออนไลน์ในธุรกิจ B2C บริษัทจึงตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายผ่านช่องทาง omnichannel ต่อยอดขายรวมเพิ่มขึ้นสู่ 15-20% ภายใน 3 ปีข้างหน้า (เทียบกับ 9.5% ของยอดขายรวมในปี 2565) สินค้าภายใต้เครื่องหมายการค้าของ MAKRO (private label) ด้วยภาวะเงินเฟ้อผลักดันให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น บริษัทจึงคาดว่าสัดส่วนยอดขายสินค้า private label ต่อยอดขายรวมจะเพิ่มขึ้นสู่ 16% (เทียบกับ 15% ในปี 2565) สำหรับธุรกิจ B2B และ 15% (เทียบกับ 12% ในปี 2565) สำหรับธุรกิจ B2C ในปี 2566 ธุรกิจให้เช่า บริษัทเชื่อว่าการปรับส่วนผสมผู้เช่าและการใช้ประโยชน์พื้นที่เช่าได้ดีขึ้นจะช่วยหนุนให้อัตราการเช่าพื้นที่ในปี 2566 ฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 96% ในประเทศไทย (เทียบกับ 92% ณ สิ้นปี 2565) และ 97% ในมาเลเซีย (เทียบกับ 95% ณ สิ้นปี 2565)
การรับรู้ synergy จาก synergy ที่ MAKRO ตั้งเป้ารับรู้จำนวน 2.7 พันลบ. บริษัทรับรู้ไปแล้ว 1.3 พันลบ. ใน 10M65 (ประหยัด CAPEX ได้เกือบ 1 พันลบ. ผ่านการซื้ออุปกรณ์ร่วมกัน และส่วนที่เหลือเกิดจากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นและการประหยัดต้นทุน เช่น การบริหารจัดการสินค้ากลุ่มอาหารสด สินค้า private brand และรายได้ค่าเช่าได้ดีขึ้น และการใช้บริการ back-office ร่วมกัน) และส่วนที่เหลือจะรับรู้ในปี 2566
การรีไฟแนนซ์หนี้ ณ สิ้น 3Q65 MAKRO มีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (1.18 แสนลบ.) ต่อทุนที่ 0.3 เท่า โดยมีสัดส่วนหนี้สินสกุลดอลลาร์สหรัฐเทียบกับหนี้สินสกุลเงินบาทอยู่ที่ 54% (US$1.7 พันล้าน): 46% (5.3 หมื่นลบ.) ในเดือนส.ค. 2565 คณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติให้บริษัทออกหุ้นกู้หรือตราสารหนี้อื่นๆ มูลค่าไม่เกิน 9.5 หมื่นลบ. เพื่อชำระคืนหนี้ระยะยาวจำนวน US$1.7 พันล้าน และ 2.6 หมื่นลบ. ในเดือนต.ค. 2565 บริษัทได้ออกหุ้นกู้สกุลเงินบาทจำนวน 2.3 หมื่นลบ. (ต้นทุนทางการเงิน 3.2% ต่อปี) เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้จำนวน US$449 ล้าน (1.7 หมื่นลบ.) และเงินกู้สกุลบาทจำนวน 6.9 พันลบ. (ต้นทุนทางการเงิน 5% ต่อปี) MAKRO จะบันทึกค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้คืนก่อนกำหนดครั้งเดียวจำนวนไม่ถึง 200 ลบ. ใน 4Q65 MAKRO คาดว่าต้นทุนทางการเงินโดยเฉลี่ยจะทำจุดสูงสุดใน 4Q65 ที่ระดับเฉลี่ย 5% และจะลดลงใน 2H66 เนื่องจากบริษัทวางแผนรีไฟแนนซ์เงินกู้ส่วนที่เหลืออีก US$1.3 พันล้าน เป็นหนี้สกุลบาทให้แล้วเสร็จภายใน 1H66
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในด้านกำลังซื้อและต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และการอ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ