หลังการประชุมนักวิเคราะห์ เรายังคงเรทติ้ง NEUTRAL สำหรับ MTC และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 36 บาท เราคาดว่า MTC จะเห็นคุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวแย่ลงอย่างต่อเนื่อง โดย credit cost จะเพิ่มขึ้น การเติบโตของสินเชื่อจะชะลอตัวลง และ NIM จะลดลงในปี 2566
คาด NPL จะทำจุดสูงสุดในช่วงกลางปี 2566 และ credit cost จะเพิ่มขึ้น MTC คาดว่า NPL จะทำจุดสูงสุดที่ 3.5% ในช่วงกลางปี 2566 (เทียบกับ 2.95% ณ สิ้นปี 2565) บริษัทคาดว่า credit cost จะเพิ่มขึ้นสู่ราว 4% ในปี 2566 (ตรงตามที่เราคาดการณ์) จาก 2.7% ในปี 2565
ชะลอการขยายสินเชื่อในปี 2566 ในปี 2566 MTC วางแผนชะลอการขยายสินเชื่อลงสู่ ~20% (สอดคล้องกับประมาณการของเราที่ 22%) จาก 31% ในปี 2565 สะท้อนถึงฐานที่ใหญ่ขึ้นและนโยบายปล่อยสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับแผนชะลอการเปิดสาขาเพิ่มที่ 600 สาขาในปี 2566 เทียบกับ 869 สาขาในปี 2565 และ 915 สาขาในปี 2564 บริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 6,668 สาขา ณ สิ้นปี 2565
ตั้งเป้าคง NIM ไว้ในระดับทรงตัว โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยง MTC ตั้งเป้าคง NIM ไว้ในระดับทรงตัว โดยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามความเสี่ยงของลูกหนี้แต่ละราย ดังนั้นเราจึงปรับประมาณการ NIM ปี 2566 เพิ่มขึ้น 20 bps อย่างไรก็ตาม เราคาดการณ์ตามหลักความระมัดระวังว่า NIM จะหดตัวลง 17 bps ในปี 2566 อันเป็นผลมาจากต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น สำหรับปี 2566 เราคาดว่าต้นทุนทางการเงินจะเพิ่มขึ้น 50 bps และผลตอบแทนจากการให้สินเชื่อจะเพิ่มขึ้น 25 bps
จะกลับมาใช้อัตราการจ่ายเงินปันผลตามปกติในปี 2566 หลังจากจ่ายเงินปันผลสูงเป็นพิเศษในปี 2565 MTC จะจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.95 บาท/หุ้น (อัตราการจ่ายเงินปันผล 40%) จากผลการดำเนินงานปี 2565 ซึ่งสูงกว่า 0.37 บาท/หุ้น (อัตราการจ่ายเงินปันผล 15%) ในปี 2564 อัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงกว่าคาดที่ 40% สำหรับปี 2565 เป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว บริษัทจะกลับมาใช้อัตราการจ่ายเงินปันผลตามปกติที่ 15% ในปี 2566
ยังคงคาดว่ากำไรจะเติบโตเล็กน้อยในปี 2566 ในปี 2566 เราคาดว่ากำไรจะเติบโตเล็กน้อยที่ 3% โดยเกิดจาก credit cost ที่เพิ่มขึ้น 130 bps สู่ 4% การเติบโตของสินเชื่อที่ 22% และ NIM ที่ลดลง 20 bps
คงเรทติ้ง NEUTRAL และคงราคาเป้าหมายไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เรายังคงเรทติ้ง NEUTRAL สำหรับ MTC และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 36 บาท (PBV 2.3 เท่า หรือ PE 14 เท่า สำหรับปี 2566)
ปัจจัยเสี่ยง 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 2) ความเสี่ยงด้าน NIM จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น 3) การแข่งขันที่สูงขึ้นจากธนาคารต่างๆ เนื่องจาก “virtual bank” จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า และ 4) ความเสี่ยงด้านกฎหมาย