กำไรสุทธิ 1Q66 อยู่ที่ 2.79 หมื่นลบ. (+12.4% YoY และ +49.4% QoQ) สูงกว่าที่เราคาด เพราะกำไรของกลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศดีกว่าคาด และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 หมื่นลบ. สูงกว่าคาด กำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 117% QoQ สู่ 6.28 หมื่นลบ. แม้ว่ายังคงลดลง 40.6% YoY โดยธุรกิจส่วนใหญ่ฟื้นตัวจากขาดทุนใน 4Q65 ซึ่งช่วยชดเชยกำไรที่ลดลงของธุรกิจ E&P กำไรสุทธิ 1Q66 คิดเป็น 26% ของประมาณการกำไรเต็มปี เราคาดว่ากำไรสุทธิจะอ่อนตัวลงใน 2Q66 โดยเกิดจากกำไรพิเศษ (หลักๆ เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน) ที่ลดลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่ประกอบธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นที่ลดลงก่อนจะฟื้นตัวใน 2H66 เรายังคงประมาณการกำไรปี 2566 ไว้เหมือนเดิม โดยคาดว่ากำไรปกติจะลดลง 34% YoY สู่ 1.05 แสนลบ. เรายังคงราคาเป้าหมายที่คำนวณได้จากวิธี sum-of-the-parts ไว้ที่ 45 บาท และคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ PTT เนื่องจาก valuation ไม่แพง และผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจ
กำไรของกลุ่มธุรกิจก๊าซอ่อนแอลงต่อเนื่อง แม้ปริมาณการขายก๊าซเพิ่มขึ้น 4% QoQ สู่ 4,078mmcfd แต่กำไรจากการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจก๊าซของ PTT ยังคงลดลง 58% YoY และ 11% QoQ โดยมีสาเหตุมาจากกำไรที่ลดลงของธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูง ในขณะที่ราคาขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรมอิงกับราคาน้ำมันเตาที่ลดลง ผลการดำเนินงานของธุรกิจ GSP ฟื้นตัว QoQ เพราะราคาปิโตรเคมีอ้างอิงดีขึ้น แต่ยังคงอ่อนแอลง YoY ค่อนข้างมาก แม้กระทั่งธุรกิจระบบท่อส่งก๊าซที่มีเสถียรภาพมากที่สุดก็ยังได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าผ่านท่อลดลงในเดือนส.ค. 2565 ดังนั้นกำไรจากการดำเนินงานจึงลดลง 27% YoY แม้เพิ่มขึ้น 12% QoQ เพราะความต้องการใช้ก๊าซจากโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ยอดขายก๊าซโดยรวมยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ 4,505mmcfd ค่อนข้างมาก
กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศโดดเด่นใน 1Q66 เนื่องจากผลการดำเนินงานพลิกกลับมามีกำไร 4.5 พันลบ. เทียบกับขาดทุน 654 ลบ. นอกเหนือจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น (+13% YoY และ 84% QoQ) สู่ 4 หมื่นล้านลิตร โดยมีสาเหตุมาจากความต้องการนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อขายให้กับโรงกลั่นในประเทศเพิ่มขึ้น ประกอบกับปริมาณการนําเข้า LNG ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดที่เอื้ออำนวยสำหรับการค้าน้ำมันสำเร็จรูประหว่างประเทศแล้ว กลุ่มธุรกิจนี้ยังบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธุ์จำนวน 1.6 พันลบ. ใน 1Q66 เทียบกับขาดทุนจำนวนมากถึง 1.4 หมื่นลบ. ใน 1Q65 อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มธุรกิจนี้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปกติที่ 0.04-0.05 บาท/ลิตร สู่ 0.14 บาท/ลิตร ใน 1Q66
กลุ่มธุรกิจน้ำมัน และ P&R ก็ฟื้นตัวจากขาดทุนใน 4Q65 ค่าการตลาดและ market GRM ที่สูงขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนให้ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจน้ำมันและบริษัทร่วมที่ประกอบธุรกิจ P&R แข็งแกร่งขึ้นใน 1Q66 ทั้งสองกลุ่มสามารถรายงานกำไรจากการดำเนินงานได้ที่ 4.4 พันลบ. และ 8 พันลบ. ตามลำดับ เทียบกับขาดทุนใน 4Q65 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินงานได้ตามปกติมากขึ้นใน 1Q66 หลังจากมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นหลายแห่งตามแผนใน 4Q65 ดังนั้นอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นจึงฟื้นตัวจาก 76% ใน 4Q65 สู่ 103% ใน 1Q66 ทั้งนี้บริษัทร่วมที่ประกอบธุรกิจ P&R ยังได้กำไรจากกิจกรรมการป้องกันความเสี่ยงน้ำมันใน 1Q66 ด้วย โดยมีสาเหตุมาจาก crack spread ของผลิตภัณฑ์ middle distillate ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มกำไร 2Q66 เราคาดว่ากำไรสุทธิของ PTT จะอ่อนตัวลงใน 2Q66 โดยมีสาเหตุมาจากกำไรพิเศษที่ลดลง (ส่วนใหญ่เป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนและตราสารอนุพันธุ์) ในด้านการดำเนินงาน เราคาดว่าราคาขายก๊าซที่ลดลงและค่าการกลั่นที่อ่อนแอลงจะส่งผลกระทบต่อกำไรของกลุ่มธุรกิจ E&P และ P&R ใน 2Q66 ซึ่งจะได้รับการชดเชยจากความต้องการใช้ก๊าซในการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อกลุ่มธุรกิจก๊าซที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัท และค่าการตลาดที่สูงขึ้นน่าจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจน้ำมันอย่างต่อเนื่อง เราคงประมาณการกำไรปี 2566 ของเราไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และคงราคาเป้าหมายอ้างอิงวิธี sum-of-the-parts ไว้ที่ 45 บาท
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อความต้องการผลิตภัณฑ์พลังงานและปิโตรเคมีของ PTT ในขณะที่ความผันผวนของราคาน้ำมันอาจส่งผลทำให้มีขาดทุนสต๊อกจำนวนมาก แต่เรามองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ คือ การด้อยค่าของสินทรัพย์ ขาดทุนจากการขายสินทรัพย์ และการเปลี่ยนแปลงกฎหมายเกี่ยวกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม PTT230512_T (1)