SCCC รายงานกำไรสุทธิ 873 ลบ. ใน 2Q67 สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 20% กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 120% YoY จากต้นทุนถ่านหินที่ลดลงและการดำเนินโครงการลดต้นทุน ในขณะที่การปรับตัวลดลง QoQ ของกำไรจากการดำเนินงานเกิดจากยอดขายที่ชะลอตัวลงตามฤดูกาลที่มีวันหยุดยาว SCCC คาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศไทยจะฟื้นตัวใน 2H67 โดยได้แรงหนุนจากการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ แต่ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ การขาดเสถียรภาพของรัฐบาล และหนี้ครัวเรือนสูง เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2567 และปี 2568 เพิ่มขึ้นปีละ 22% เพื่อสะท้อนอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ต่ำกว่าคาด เราคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ SCCC โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 158 บาท อ้างอิง PE 13.1 เท่า หรือ -1.0SD ของ PE เฉลี่ย 10 ปี กำไรสุทธิ 2Q67 เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ SCCC รายงานกำไรสุทธิ 873 ลบ. ใน 2Q67 สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ 20% กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวลดลง 10% QoQ เนื่องจากยอดขายที่ชะลอตัวลงตามฤดูกาลที่มีวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ในประเทศไทย (72% ของรายได้รวม) รวมถึงการเบิกจ่ายภาครัฐยังค่อนข้างล่าช้า โดยนับจากพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2567 ได้รับการอนุมัติตั้งแต่ปลายเดือนเม.ย. 2567 ปัจจุบันยังไม่ได้รับจัดสรรให้กับโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ขณะที่กำลังซื้อในตลาดค้าปลีก ยังคงอยู่ในระดับต่ำจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง ส่งผลให้ยอดขายปูนซีเมนต์ในประเทศไทยปรับตัวลดลง 4% QoQ อย่างไรก็ตาม กำไรจากการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น 120% YoY เนื่องจากต้นทุนถ่านหินทีปรับตัวลดลง การเพิ่มประสิทธิภาพการลดต้นทุน และการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทางเลือกที่มีต้นทุนถูกกว่าถ่านหิน โดยรวมจึงทำให้อัตรากำไรขันต้นปรับตัวสูงขึ้นเป็น 27.1% ใน 2Q67 เทียบกับ 24.2% ใน 2Q66 และ 28.8% ใน 1Q67 ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นสู่ 302 ลบ. (+5.9% QoQ, -19.9% YoY) จากส่วนแบ่งกำไรที่ดีขึ้นเล็กน้อยของ LANNA ทั้งนี้รายการพิเศษใน 2Q67 ได้แก่ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 52 ลบ. เทียบกับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 132 ลบ. ใน 1Q67 และ 235 ล้านบาท ใน 2Q66 แนวโน้ม 2H67 SCCC ยังคงมองภาพตลาดเชิงบวกอย่างระมัดระวัง แม้คาดว่าจะได้ประโยชน์จากการเร่งเบิกจ่ายภาครัฐ หลังจาก พรบ.งบประมาณปี 2567 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 เม.ย. 2567 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นความต้องการปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40% ของการใช้ปูนซีเมนต์ทั้งหมดในประเทศไทย แต่จะถูกลดทอนบางส่วนโดยช่วงโลว์ซีซั่นตามปกติของอุตสาหกรรม (ฤดูฝนในไตรมาสที่ 3 และวันหยุดยาวในไตรมาสที่ 4) ในขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองดูเหมือนจะมีมากขึ้นในตอนนี้ และต้องจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนภาคเอกชนขนาดไหน โดย SCCC คาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศไทยจะลดลงประมาณ 4-5% ในปี 2567 โดยคาดว่าจะฟื้นตัว 4-5% HoH ใน 2H67 หลังจากความต้องการลดลง 10% YoY ใน 1H67 ขณะที่อาจจะต้องรอดูผลกระทบการเบิกจ่ายงบลงทุนสำหรับงบประมาณปีหน้าว่าจะมีความล่าช้าอีกหรือไม่ ส่วนตลาดเวียดนาม (13% ของยอดขายรวม) จะได้ผลบวกจากโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ได้แก่ สนามบิน Long Thanh ทางด่วนในภาคกลางและภาคใต้ และโครงการบ้านเพื่อสังคมราคาประหยัดจำนวน 1 ล้านหลัง บริษัทจะดำเนินโครงการลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายลง 15% Valuation และคำแนะนำ เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 และปี 2568 เพิ่มขึ้นปีละ 22% เพื่อสะท้อนอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ต่ำกว่าคาด โดยปรับประมาณการอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายในปี 2567-2568 ลดลงสู่ 17% จากเดิมที่ 19% เราคาดว่าความต้องการปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะจึงจะกลับมาเติบโตใน 2H67 ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ หนี้ครัวเรือนสูง และอัตราดอกเบี้ยสูง ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ NEUTRAL สำหรับ SCCC โดยปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นราคาเป้าหมายปี 2568 ที่ 158 บาท (จากเดิม 160 บาท) อ้างอิง PE 13.1 เท่า หรือ -1.0SD ของ PE เฉลี่ย 10 ปี ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น และปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง |
||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก SCCC240816_T
|