Keyword
Company Update

SCGP – 2Q66: กำไรสุทธิสูงกว่า INVX และตลาดคาด – OUTPERFORM (ราคาเป้าหมาย 52 บาท)

26 Jul 23 12:11 PM
26072023-11-20240911192604
SCGP

กำไรสุทธิ 2Q66 สูงกว่า INVX คาด 11% และสูงกว่า consensus คาด 8% โดยเกิดจากการลดต้นทุนได้ดีกว่าคาด เราคาดว่าผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 2H66 โดยได้รับการสนับสนุนจากต้นทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง (ทั้งต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงาน) และคาดว่าธุรกิจในประเทศไทยและอินโดนีเซียจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากได้รับผลกระทบจากวันหยุดยาวใน 2Q66 อีกทั้งความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยรวมจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นใน 3Q66 เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ SCGP ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 52 บาท

กำไรสุทธิ 2Q66 อยู่ที่ 1.49 พันลบ. +21.7% QoQ, -20.0% YoY สูงกว่า INVX คาด 11% และสูงกว่า consensus คาด 8% โดยเกิดจากการควบคุมต้นทุนได้ดีกว่าคาด กำไรสุทธิที่เติบโต QoQ สะท้อนถึงต้นทุนโดยรวมที่ลดลง ได้แก่: 1) ต้นทุนวัตถุดิบ (RCP) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องใน 2Q66 จากการรับรู้ต้นทุน RCP ระดับต่ำ (ปรับตัวตามหลังราคาตลาดอยู่ 3-4 เดือน) และ 2) ราคาถ่านหินที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง (จาก US$100/ตัน ใน 1Q66 สู่ US$85/ตัน ใน 2Q66 และปัจจุบันที่ US$69/ตัน)

รายการสำคัญใน 2Q66 รายได้อยู่ที่ 3.22 หมื่นลบ. ลดลง 4.0% QoQ โดยมีสาเหตุหลักมาจากยอดขายของสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (74.8% ของยอดขายรวม) ที่ลดลง 5% QoQ เนื่องมาจากปริมาณการขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซียลดลงอันเป็นผลมาจากวันหยุดยาวช่วงเทศกาล Hari Raya แต่ได้รับการชดเชยบางส่วนจากยอดขายของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ (21.3% ของยอดขายรวม) ที่เพิ่มขึ้น 3% QoQ โดยเกิดจากปริมาณการขายและส่วนต่างราคาเยื่อเคมีละลายได้ที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่เพิ่มขึ้นในจีน และความต้องการกระดาษพิมพ์เขียนที่เพิ่มขึ้นในช่วงเลือกตั้งและเทศกาลเปิดเทอม ในด้านต้นทุน การปรับตัวดีขึ้นส่วนใหญ่เกิดจากต้นทุน เช่น วัตถุดิบ ค่าขนส่ง และพลังงาน ส่งผลให้ EBITDA margin ทั้งในสายธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจรและสายธุรกิจเยื่อกระดาษดีขึ้น อีกทั้งกำไรยังได้รับการสนับสนุนจากปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์อาหารและผลิตภัณฑ์กระดาษพิมพ์เขียนที่เพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมปรับตัวดีขึ้นสู่ 18.2% (+600bps QoQ) ใน 2Q66

แนวโน้มปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องใน 2H66 เราคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปใน 3Q66 โดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยรวมที่ฟื้นตัวสู่ระดับปกติ เนื่องจากจีนนำเข้าบรรจุภัณฑ์กระดาษกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์โดยรวมที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น และต้นทุนโดยรวม (วัตถุดิบและถ่านหิน) ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง SCGP ตั้งงบสำหรับทำ M&P ในปีนี้ไว้ที่ 9.0 พันลบ. ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่ม upside ให้กับกำไรของบริษัทในช่วงที่เหลือของปีนี้ เรายังคงประมาณการของเราไว้เหมือนเดิม แม้กำไรสุทธิ 1H66 คิดเป็นสัดส่วนเพียง 38% ของประมาณการกำไรเต็มปีของเรา

SCGP กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการลงทุนในปี 2567 เพื่อเข้าซื้อหุ้น PT Fajar Surya Wisesa (Fajar) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในอินโดนีเซีย เพิ่มเติม ซึ่งจะส่งผลให้ SCGP มีสัดส่วนการถือหุ้น Fajar เพิ่มขึ้นเป็น 99.7% (จาก 55.23% ในปัจจุบัน) โดยคาดว่าดีลนี้จะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 มูลค่าธุรกรรมที่ประเมินได้อยู่ที่ราว 2.32 หมื่นลบ. โดยจะใช้แหล่งเงินทุนจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน 6 พันลบ. และส่วนที่เหลือจะมาจากการกู้ยืม นอกจากนี้ SCGP ก็กำลังมองหาพันธมิตรเพื่อลงทุนใน Fajar ซึ่งคาดว่าจะช่วยเสริม synergy และกลยุทธ์ cross-selling ในอนาคต

เงินปันผลงวด 1H66 คณะกรรมการของ SCGP มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลที่อัตรา 0.25 บาท/หุ้น จากผลการดำเนินงานงวด 1H66 ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 8 ส.ค. 2566

กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ เราเชื่อว่าราคาหุ้น SCGP ที่ปรับตัวลดลง 29.8% YTD สะท้อนปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว ในขณะที่ผลประกอบการปกติที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 1-2 ไตรมาสข้างหน้าจะช่วยจำกัด downside risk เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ SCGP ด้วยราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 52 บาท อ้างอิง PE เฉลี่ยที่ 31.6 เท่า

ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าหลังเปิดประเทศ และผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม  SCGP230726_T
Most Read
1/5
Related Articles
Most Read
1/5