กำไรสุทธิ 2Q67 ของ SCGP ลดลง 15.7% QoQ และ 2.1% QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และปริมาณการผลิตเยื่อกระดาษที่ลดลงจากการปิดซ่อมบำรุงประจำปี (2 สัปดาห์) ของโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวใน 2H67 จากการกลับมาผลิตเพิ่มขึ้นหลังจากวันหยุดยาว ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตสูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แต่จะถูกลดทอนบางส่วนโดยการเริ่มบันทึกดอกเบี้ยจ่ายจากการเข้าซื้อหุ้น Fajar paper เพิ่ม ราคาหุ้นที่ลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า -1.5SD ของ PE mean ทำให้ downside มีจำกัด เราแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 40 บาท อ้างอิง PE 25.9 เท่า หรือระดับ -1SD ของ PE mean กำไรสุทธิลดลง QoQ จากปัจจัยฤดูกาล SCGP รายงานกำไรสุทธิ 1.45 พันลบ. ใน 2Q67 ลดลง 15.7% QoQ และ 2.1% YoY เป็นไปตาม INVX และ consensus คาด โดยหากตัดรายการพิเศษขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 25 ลบ. ออกไป พบว่ากำไรปกติอยู่ที่ 1.48 พันลบ. ลดลง 12.3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 2.8% YoY กำไรปกติที่ลดลง QoQ หลักๆ เกิดจาก: 1) ปริมาณการขายผลิตภัณฑ์บรรจุภัณฑ์ที่ลดลงทั้งในประเทศไทย (42% ของรายได้รวม) และประเทศอินโดนีเซีย (14% ของรายได้รวม) เนื่องจากมีวันหยุดยาว (เทศกาลสงกรานต์ในประเทศไทย และฮารีรายอในประเทศอินโดนีเซีย) และต้นทุนวัตถุดิบ (เศษกระดาษ) ที่เพิ่มขึ้น QoQ ซึ่งได้รับการชดเชยบางส่วนจากการปรับราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น QoQ ในทุกประเทศตามต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้การใช้วัตถุดิบในประเทศ (55%) สูงกว่าการนำเข้า ทำให้ SCGP ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบน้อยกว่าคู่แข่ง และ 2) ผลการดำเนินงานของสายธุรกิจเยื่อและกระดาษที่อ่อนตัวลงเล็กน้อย QoQ จากการปิดซ่อมบำรุงประจำปีเป็นเวลา 2 สัปดาห์ของโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ และการบันทึกค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงจำนวน 100 ลบ. EBITDA margin โดยรวมลดลงสู่ 14% ใน 2Q67 จาก 15% ใน 1Q67 และ 15% ใน 2Q66 ในขณะที่กำไรปกติที่เพิ่มขึ้น YoY เกิดจากปริมาณการขายและราคาบรรจุภัณฑ์ที่สูงขึ้น รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น SCGP ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงาน 1H67 ที่ 0.25 บาท/หุ้น (อัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 1.8%) ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 ส.ค. 2567 แนวโน้มกำไร 2H67 เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวใน 2H67 จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นหลังจากผ่านพ้นช่วงที่มีวันหยุดยาวใน 2Q67 ประกอบกับความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่เติบโตสูงขึ้นจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละประเทศ รวมถึงการปรับเพิ่มราคาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ต้นทุนวัตถุดิบอย่างเศษกระดาษ และต้นทุนพลังงานถ่านหิน ก็คาดว่าจะอยู่ในระดับทรงตัว กลยุทธ์ของ SCGP ยังคงเน้นการบริหารจัดการวัตถุดิบ โดยบริษัทจะพยายามเพิ่มสัดส่วนการใช้ RCP จากแหล่งภายประเทศมากขึ้น (จาก 55% เป็น 60%) และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต สำหรับการซื้อหุ้น Fajar Paper เพิ่มเติม (44.48%) SCGP ได้เตรียมงบลงทุนไว้แล้ว 2.32 หมื่นลบ. ซึ่งประกอบด้วยกระแสเงินสดภายในกิจการ 8 พันลบ. และส่วนที่เหลือจะมาจากการออกหุ้นกู้และเงินกู้ยืม โดยคาดว่าจะมีต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ย 3% คิดเป็นค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเติม 450 ลบ.ต่อปี เริ่มตั้งแต่เดือนก.ย. 2567 และไม่มีค่าใช้จ่ายด้อยค่า สำหรับการดำเนินงาน ผู้บริหารมองว่าความต้องการกระดาษบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยและประเทศจีนที่กำลังจะเข้าสู่ buying season รวมถึง SCGP มีแผนที่จะส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศอินโดนีเซียไปช่วยสนับสนุนการดำเนินงานในประเทศเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้วเพราะมีความต้องการบรรจุภัณฑ์จำนวนมาก ผู้บริหารคาดว่าธุรกิจที่ประเทศอินโดนีเซียจะถึงจุดคุ้มทุนภายในสิ้นปีนี้ 2567 กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ ราคาหุ้น SCGP ปรับตัวลดลง 25.0% YTD มาเทรดที่ระดับต่ำกว่า -1.5SD ของ PE mean บ่งชี้ว่าปัจจัยลบสะท้อนในราคาหุ้นไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เราคาดว่าผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยได้รับการสนับสนุนจากความต้องการบรรจุภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการต้นทุน เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ SCGP โดยให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท อ้างอิง PE 25.9 เท่า หรือ ระดับ -1SD ของ PE เฉลี่ย 3 ปี ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวช้าต่อเนื่อง และความไม่สงบทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ต้นทุนถ่านหินเพิ่มขึ้น ความเสี่ยงด้าน ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงาน ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ยังอยู่ระดับสูง (E) |
|||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก SCGP240724_T
|