TTB เปิดเผยเป้าหมายทางการเงินปี 2566 ที่ค่อนข้างเป็นไปในเชิงลบในการประชุมนักวิเคราะห์ โดยสะท้อนถึงการคาดการณ์ credit cost ในระดับที่ค่อนข้างทรงตัว NPL ที่สูงขึ้น การเติบโตของสินเชื่อระดับต่ำ NIM ที่ดีขึ้น non-NII ในระดับทรงตัว และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ทรงตัว เมื่ออิงกับเป้าหมายดังกล่าว เราคาดว่ากำไรปี 2566 จะเติบโต 9% เรายังคงเรทติ้ง NEUTRAL สำหรับ TTB และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.5 บาท
คาด credit cost ทรงตัว และ NPL จะเพิ่มขึ้นในปี 2566 TTB ตั้งเป้าหมาย credit cost ที่ 1.25-1.35% ในปี 2566 ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับ 1.32% ในปี 2565 ซึ่งมีการนำแผนขยายสินเชื่อ กิจกรรมลดความเสี่ยง และแนวโน้มคุณภาพสินทรัพย์มาประกอบการพิจารณา ตัวเลขดังกล่าวสอดคล้องกับประมาณการของเราที่ 1.35% TTB เชื่อว่า credit cost ในสภาวะปกติจะอยู่ที่ 1.2-1.25% ซึ่งบ่งชี้ว่า credit cost มีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงอีกไม่มากนักในอนาคต TTB ตั้งเป้าอัตราส่วน NPL ไว้ที่ไม่เกิน 2.9% ณ สิ้นปี 2566 เทียบกับ 2.73% (ตามการคำนวณของธนาร) ณ สิ้นปี 2565 โดยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของแรงต้านจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเงินเฟ้อ ธนาคารได้ปรับปรุงสินเชื่อ (สินเชื่อที่ปรับโครงสร้างแล้วที่มีมาแต่เดิมก่อนเกิดสถานการณ์ COVID และสินเชื่อภายใต้มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้) ในสัดส่วน 12% ของสินเชื่อรวม ณ 4Q65 ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะถูกเลื่อนชั้นลงอีก
การเติบโตของสินเชื่อต่ำต่อเนื่อง TTB ตั้งเป้าหมายการติบโตของสินเชื่อที่ 3% ในปี 2566 เทียบกับ 0.3% ในปี 2565 สอดคล้องกับประมาณการก่อนหน้านี้ของเราที่ 3% เป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อดังกล่าวสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินนโยบายปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังและการบริหารพอร์ตอย่างรอบคอบภายใต้สภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศหลักๆ ในปี 2566 ธนาคารวางแผนเพิ่มผลตอบแทนโดยจะมุ่งเน้นไปที่สินเชื่อ “รกแลกเงิน” และสินเชื่อ “บ้านแลกเงิน”
ตั้งเป้าขยาย NIM TTB ตั้งเป้าหมาย NIM ไว้ที่ 3-3.1% ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 2.94% ในปี 2565 ซึ่งสอดคล้องกับประมาณการปี 2566 ของเราที่ 3.05% (+11 bps) แม้ TTB มีสินเชื่อเช่าซื้อที่คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ในสัดส่วน 30% แต่ NIM ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจะเกิดจากการหันมาปล่อยสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าปกติเพิ่มมากขึ้นท่ามกลางสภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการปรับอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ เพิ่มขึ้น 23 bps
Non-NII จะเติบโตเล็กน้อย TTB ตั้งเป้าหมาย non-NII เติบโตเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำในปี 2566 เรามองว่าเป้าหมายดังกล่าวค่อนข้างท้าทาย และคงประมาณการของเราไว้ว่า non-NII จะหดตัวลง 2% (กำไรจากเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยวิธี FVTPL ลดลง) โดยรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิจะฟื้นตัว 2% จากฐานต่ำในปี 2565
อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะอยู่ในระดับทรงตัว TTB ตั้งเป้าหมายอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ ~45% ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบกับ 45.6% ในปี 2565 ธนาคารตั้งเป้าที่จะลดอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ลงสู่ระดับ low-40% ในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยจะเร่งเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลด้วยการนำแพลตฟอร์ม One app มาใช้เพื่อลดต้นทุนต่อการทำธุรกรรมลง
คาดกำไรปี 2565 เติบโตปานกลาง เราคาดว่ากำไรปี 2566 จะเติบโต 9% โดยได้รับการสนับสนุนจากสินเชื่อที่เติบโต 3% NIM ที่ขยายตัว 11 bps non-NII ที่ลดลง 2% credit cost ที่เพิ่มขึ้น 3 bps และอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ในระดับทรงตัว
คงเรทติ้ NEUTRAL และคงราคาเป้าหมายไว้ไม่เปลี่ยนแปลง เรายังคงเรทติ้ง NEUTRAL สำหรับ TTB และคงราคาเป้าหมายไว้ที่ 1.5 บาท ณ PBV ปัจจุบันที่ 0.6 เท่า (เทียบกับ ROE 7%) และ PER 9 เท่า สำหรับปี 2566 TTB ดูน่าสนใจน้อยกว่าหุ้นธนาคารตัวอื่นๆ และ valuation ไม่สมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาจากความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจโลกชะลอตัว 2) การปรับตัวลดลงของราคารถมือสอง และ 3) ผลกระทบจาก Fintech