Upside ระยะสั้นจำกัด |
แนวโน้มตลาดวันนี้ |
คาด SET มี upside ระยะสั้นจำกัด โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1520 และ 1527 จุด ตามลำดับ จากสัญญาณเทคนิคที่ร้อนแรงในระยะสั้น และยังต้องติดตามประเด็นสำคัญถัดไป สำหรับเรื่องการโหวตนายกฯ ในสัปดาห์หน้า ด้านแนวโน้มราคา การพักตัวจะแกว่งในกรอบ หากไม่ต่ำกว่าแนวรับระยะสั้น 1495-1506 จุด ส่วนกรณีต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อการพักตัวในแนวดิ่งมากขึ้น |
ประเด็นสำคัญ |
• สหรัฐเตรียมออกมาตรการควบคุมไม่ให้ บ. ของจีนเข้าถึงบริการ cloud-computing เพื่อตอบโต้ที่จีนควบคุมการส่งออกโลหะสำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์, สื่อสารโทรคมนาคม และรถยนต์ไฟฟ้า• สรท. ปรับลดคาดการณ์ส่งออกในปีนี้ลงมาอยู่ในช่วง -0.5 ถึง 1% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 0-1% หลัง ศก. คู่ค้าทั่วโลกชะลอตัว แต่คาด 2H66 ส่งออกน่าจะกลับมาขยายตัวได้• ธปท. ระบุดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม มิ.ย. ลดลงต่อจาก พ.ค. จาก low season ทำ นทท. ต่างชาติลดลง คาด 3Q66 ใกล้เคียง 2Q66 เสนอแนะภาครัฐออกมาตรการลดค่าสาธารณูปโภค-มาตรการภาษี-กำหนดค่าแรงขั้นต่ำตามสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่• ททท. คาดภาคการท่องเที่ยวจะช่วยพยุง ศก. ไทยให้เติบโตได้ โดยปีนี้คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติจะมีมากถึง 30 ล้านคน หรือไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 25 ล้านคน ขณะที่คนไทยเที่ยวไทย 117-135 ล้านคนครั้ง• กกร. และ สรท. ขานรับสภาฯ มีมติเลือกนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็น ปธ. สภาฯ เป็นสัญญาณที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน จับตา 3 แนวทางเลือกนายกฯ คาดจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จภายใน ส.ค. แต่หากล่าช้าคาดกระทบเชื่อมั่นและ ศก. อาจสะดุด• สต็อกน้ำมันปาล์มในมาเลเซียปรับเพิ่มขึ้นสูงสุดใน 4 เดือน |
กลยุทธ์การลงทุน |
แม้ SET มีโอกาสฟื้นตัว แต่จะมี Upside จำกัด เนื่องจากมีความเสี่ยงต้องจับตาทั้งจากสถานการณ์การเมืองไทยหลังเตรียมเปิดประชุมผู้แทนราษฎรนัดแรก (4 ก.ค.), การไหลออกของ Fund Flow จากตลาดการเงินทำให้เงินบาทอ่อนค่าซึ่งอาจกระทบต่อการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ อีกทั้งภาพตลาดโลกยังกังวลธนาคารกลางหลายแห่งยังส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจโลกถดถอย ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” |
ล็อคเป้าลงทุน |
Weekly Portfolio : มองความเสี่ยงทั้งในและต่างประเทศยังกดดันการลงทุนทำให้ SET มี Upside จำกัด กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในธีมที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้1. หุ้นที่คาดผลการดำเนินงาน 2Q66 จะยังเติบโตได้ดี YoY เลือก AOT BBL ADVANC MINT OSP BDMS BEM2. หุ้นพื้นฐานดีซึ่งคาดยังมีศักยภาพจ่ายเงินปันผลสูง โดยคาดให้ Div. Yield ปี 2023 มากกว่าปีละ 5% เลือก TISCO LH AP3. หุ้นสู้วิกฤติ ซึ่งคาดราคาจะทยอยฟื้นตัวได้ดีใน 1 เดือน หลังปรับตัวลงมาแรงเนื่องจากสิ้นสุดการเลือกตั้งไทยเมื่อวันที่ 14 พ.ค. 66 เลือก BH BTS CHG CPALL4. หุ้นที่คาดได้อานิสงส์จากเงินบาทยังมีแนวโน้มอ่อนค่า เลือก AH NYT ERWขณะที่ช่วงสั้นแนะนำหลีกเลี่ยงการลงทุนสำหรับ 1) หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่ม PTT ออกไปก่อน เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือความไม่ชัดเจนของโครงสร้างราคาพลังงานจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ และ 2) หุ้นที่คาดได้รับผลกระทบจากปรากฎการณ์เอลนีโญ ได้แก่ กลุ่มพาณิชย์ (GLOBAL) กลุ่มสินเชื่อ (MTC SAWAD) กลุ่มยานยนต์ (SAT STANLY) กลุ่มเครื่องดื่ม (CBG มีต้นทุนน้ำตาลสูง) กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังน้ำ (CKP) รวมถึงกลุ่มเกษตรและอาหาร (CPF GFPT) |
Daily Focus |
HMPRO ปี 2566 คาดกำไรจะเติบโต 14%YoY จาก SSS ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง การขยายสาขาเชิงรุก และมาร์จิ้นที่ปรับตัวดีขึ้น โดยกำไรจะเติบโต QoQ ตั้งแต่ 1Q66 ถึง 4Q66 จากปัจจัยฤดูกาล อีกทั้งความเสี่ยง downside จากการเปลี่ยนนโยบายของรัฐค่อนข้างมีจำกัดBBL 2Q66 คาดกำไรเติบโต 56%YoY และ 8%QoQ ซึ่งเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร แรงหนุนจากการตั้งสำรองที่ลดลงและ NIM ที่กว้างขึ้น อีกทั้งมีแนวโน้มที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นและมีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ |
บทวิเคราะห์วันนี้ |
กลุ่มปิโตรเคมี – ส่วนต่างราคาเพิ่มขึ้น QoQ ใน 2Q66 จากฐานต่ำPTTEP – พรีวิว 2Q66: คาดกำไรยังแข็งแกร่ง |
PDF คลิกอ่านเพิ่มเติม Daily230705_T