เนื้อหาโดยรวม
SET เคลื่อนไหวในกรอบ โดยสัญญาณเทคนิคที่ยังอ่อนแรง ทำให้การฟื้นตัวยังถูกจำกัด โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1380 และ 1385 จุด ตามลำดับ ขณะที่กรอบล่างที่ยังเป็นแนวรับได้อยู่ที่ 1368 จุด ใช้เป็นจุดติดตาม หากต่ำกว่า จะเป็นสัญญาณลบต่อ โดยมีแนวรับถัดไปที่ 1360 จุด ทั้งนี้ ภาพรวมจะกลับมาเป็นบวก ต้องขึ้นทะลุ 1400 จุดก่อน |
ประเด็นสำคัญ |
• ปธ. Fed ยังคงย้ำจุดยืนว่า Fed จะไม่เร่งรีบปรับลด ดบ. เมื่อพิจารณาจาก ศก. สหรัฐที่ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งและตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงกว่าคาดในช่วงที่ผ่านมา • การจ้างงานภาคเอกชน มี.ค. ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.84 แสนตำแหน่ง สูงสุดนับตั้งแต่ ก.ค. 66 และสูงกว่าตลาดคาด ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการ มี.ค. โดย ISM ปรับลดลงเป็นเดือนที่ 2 และต่ำกว่าตลาดคาด • EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐสัปดาห์ที่แล้วเพิ่มขึ้น 3.2 ล้านบาร์เรล สวนทางที่คาด แต่สต็อกน้ำมันเบนซินลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล มากกว่าคาด บ่งชี้อุปสงค์เชื้อเพลิงในสหรัฐยังเพิ่มขึ้น ด้าน OPEC+ มีมติยังคงปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ 2.2 ล้านบาร์เรล/วัน ขณะที่ซาอุดีอาระเบียลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจ 1 ล้านบาร์เรล/วัน • เหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของไต้หวัน อาจทำให้เกิดการติดขัดของห่วงโซ่อุปทานชิปเซมิคอนดักเตอร์ในเอเชีย แม้จะไม่ทำให้เครื่องมือเสียหาย แต่ผู้ผลิตหลายรายอาจต้องเซตเครื่องจักรใหม่ให้คุณภาพยังคงเดิม • กกร. ยังคงประมาณการการขยายตัวของ GDP ไทยปีนี้อยู่ในกรอบ 2.8-3.3% การส่งออกขยายตัว 2-3% ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 0.7-1.2% แต่ภายใต้ภาวะ ศก. ที่มีความเสี่ยงสูง และข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของไทยที่ทำให้การส่งออกฟื้นตัวได้ช้าและไม่ทั่วถึง • ธพว. ระบุดัชนีเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SMEs 1Q67 ชะลอลงหลังกังวลนโยบายกระตุ้น ศก. ภาครัฐยังไม่ชัดเจน ศก. ไทย-โลกชะลอตัว กระทบกำลังซื้อลดลง กดดันผลประกอบการ-สภาพคล่องชะลอ ส่วน 3 เดือนข้างหน้ามีแนวโน้มฟื้นตัว จากช่วงเทศกาลหนุนการท่องเที่ยว-บริโภค |
กลยุทธ์การลงทุน |
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัวได้ จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐจะฟื้นตัว อีกทั้งเงินเฟ้อของไทยคาดยังอยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ได้ กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” |
ล็อคเป้าลงทุนประจำสัปดาห์ |
ช่วงสั้นมองตลาดหุ้นไทยมีโอกาสฟื้นตัว จากความคาดหวังเชิงบวกที่มีต่อดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนและสหรัฐจะฟื้นตัว ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ใน 4 ธีมหลัก ดังนี้ 1) หุ้นเก็งกำไรหลังราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับขึ้นทะลุ US$85 /bbl จากกังวลเศรษฐกิจถดถอยลดลงหนุนอุปสงค์ ด้านอุปทานได้ผลบวกจากสถานการณ์ตึงเครียดรหว่างรัสเซีย-ยูเครน โดยผู้รับความเสี่ยงได้สูง แนะนำ Trading PTTEP (ราคาน้ำมันระยะยาวเพิ่มทุก US$1 /bbl บวกต่อราคาเป้าหมาย 5 บาทต่อหุ้น) และ TOP (ค่าการกลั่นและกำไรสต๊อก) ขณะที่มองลบต่อกลุ่มค้าปลีกน้ำมัน (ค่าการตลาดแคบ) และกลุ่มสายการบิน (ต้นทุนเพิ่ม) 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการผลิต (โดยเฉพาะจีน) และผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้สะท้อนปัจจัยบวกดังกล่าว เลือก GFPT KCE SCGP IVL PTTGC 3) หุ้นที่ได้อานิสงส์บวกจากธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่จะดีขึ้นตามผลฤดูกาล เนื่องจากกำลังเข้าสู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ไทย ซึ่งปีนี้รัฐบาลประกาศจัด 21 วัน เริ่ม 1-21 เม.ย.นี้ (จากข้อมูลในอดีต 13 ปีทีผ่านมาหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในเดือน เม.ย. เฉลี่ยราว 2.5%MoM) เลือก AOT ERW MINT CPALL 4) หุ้นเก็งกำไรจากภาวะดอกเบี้ยที่จะกำลังปรับตัวลง โดยเฉพาะหากอัตราเงินเฟ้อไทย มี.ค. ยังรายงานมาอยู่ในระดับต่ำ เลือก กลุ่มไฟแนนซ์ (TIDLOR) กลุ่มสาธารณูปโภค (GULF) กลุ่มขนส่ง (AOT) |
Daily Top picks |
PTTEP มองได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ โดยล่าสุด Brent +0.48%DoD ปิดที่ US$89.352/bbl หลังกังวลอุปทานน้ำมันจะตึงตัว จากได้รับผลกระทบสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และสหรัฐเผยสต็อกน้ำมันเบนซินลดลงมากกว่าตลาดคาด HTC ช่วงสั้นคาดได้อานิสงส์จากภาวะอากาศที่ร้อนจัดและการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์จะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อเครื่องดื่มมากขึ้น ขณะที่ 1Q67 คาดกำไรเติบโต QoQ แต่อ่อนตัวเล็กน้อย YoY จากฐานสูง ส่วนทั้งปี 2567 คาดกำไรทำนิวไฮที่ 686 ลบ. เติบโต 11%YoY |
บทวิเคราะห์วันนี้ |
HANA – ธุรกิจ RFID จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2567 |
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก Daily240404_T