Keyword
Idea Playlists

BEST DEAL ฟรีค่าธรรมเนียม Front-end fee 0% ไม่มีภาษีหุ้นต่างประเทศ

1 Aug 25 8:00 AM
Web_Invest_Ideas_Thumbnail_1470x1080px
Key Summary

รวมรายชื่อ กองทุนตัวท็อปที่ต้องมีติดพอร์ต  ที่คัดมาแล้วว่าดี ฟรีค่าธรรมเนียม Front-end fee ไม่มีภาษีหุ้นต่างประเทศ  ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 30 ก.ย. 2568

 

1) กองทุน SCBS&P500 / SCBS&P500A กองทุนหุ้นดัชนีหุ้นสหรัฐฯ S&P500 ที่มีมูลค่าตลาดและสภาพคล่องสูง ครอบคลุมผู้นำอุตสาหกรรมระดับโลก

2) กองทุน SCBRS2000(A) กองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ขนาดกลางและขนาดเล็ก Russell 2000 ที่มีโอกาสเติบโตเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่

3) กองทุน PRINCIPAL GOPP-A กองทุนหุ้นโลกเชิงรุกที่คัดเลือกหุ้นคุณภาพดี เติบโตสูง และปรับตัวตามสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลก บริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุน Morgan Stanley Investment Management ที่มีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 22 ปี

4) กองทุน EHD กองทุนหุ้นยุโรปเชิงรุก ที่คัดเลือกหุ้นที่มีการจ่ายปันผลสูงและยั่งยืน บริหารทีมผู้จัดการกองทุนจาก Goldman Sachs Asset Management ที่มีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 28 ปี

5) กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A กองทุนหุ้นเวียดนามเชิงรุกที่คัดเลือกหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตสูง

Fund-Best-Deal-01.png

Best Deal รวมรายชื่อ กองทุนตัวท็อปที่ต้องมีติดพอร์ต  ที่คัดมาแล้วว่าดี ฟรีค่าธรรมเนียม Front-end fee ไม่มีภาษีหุ้นต่างประเทศ  ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. – 30 ก.ย. 2568

 

1.กองทุนดัชนีหุ้นสหรัฐฯ SCBS&P500A และ SCBS&P500

 

1.1 Why Now ?


- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ (
S&P500)  ที่มีศักยภาพการเติบโตระยะยาว โดยหุ้นสหรัฐฯ ขนาดใหญ่มีปัจจัยสนับสนุนหลักจากแนวโน้มการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่แข็งแกร่ง อัตรากำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนอยู่ในระดับสูง และได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมจากนโยบายการคลังเชิงขยาย ภายหลังการผ่านร่างงบประมาณ One Big Beautiful Bill (OBBB) ซึ่งมุ่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ


- นอกจากนี้หากเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปีอาจช่วยลดต้นทุนทางการเงิน ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อทั้ง Sentiment การบริโภคและตลาดหุ้น อย่างไรก็ตาม ดัชนี S&P500 ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ราว 22 เท่า ซึ่งสะท้อนมูลค่าที่ค่อนข้างตึงตัวในเชิง Valuation แม้แนวโน้มการเติบโตยังคงแข็งแกร่ง จึงแนะนำให้นักลงทุนใช้กลยุทธ์การทยอยสะสม  เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด

 

1.2 Why SCBS&P500A and SCBS&P500 ?

- S&P500 Index มีมูลค่าตลาดกว่า 52 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Jun 2025) ครอบคลุมประมาณ 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเป็นดัชนีที่มีสภาพคล่องสูง สามารถซื้อขายหุ้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว มีเสถียรภาพสูง ด้านกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตลาดหุ้นมีความโปร่งใส ชัดเจน และมีการบังคับใช้อย่างเคร่งครัด

- กองทุน SCBS&P500A และ SCBS&P500 ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Core S&P500 ETF (IVV) ที่มีขนาดกองทุนราว 6.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Jun 2025) มีการกระจายการลงทุนครอบคลุมหุ้นขนาดใหญ่ 500 บริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มเทคโนโลยีกลุ่มการเงิน กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มบริโภค เป็นต้น ซึ่งการลงทุนใน IVV เสมือนได้ถือหุ้น 500 บริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ในกองเดียว

- ประกอบด้วยหุ้นชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากมายและเป็นผู้นำตลาดในด้านต่างๆ เช่น Apple, Microsoft, Alphabet, Amazon, Meta, Nvidia และ Tesla เป็นต้น

- กองทุนหลักมีลักษณะการบริหารแบบ Passive Managed โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายรวมที่ต่ำมากเพียง 0.03% ต่อปี ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนที่เป็นประเภท Active Managed

- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
     - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 19.7% ต่อปี
     - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 16.6% ต่อปี
     - 10 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 13.6% ต่อปี

- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 0.50%)

 

 

 

2.กองทุนหุ้นโลกเชิงรุก PRINCIPAL GOPP-A

 

2.1 Why Now ?

- การกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นโลกถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการบริหารพอร์ตการลงทุนระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมช่วยลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในประเทศใดประเทศหนึ่งโดยเฉพาะ และช่วยสร้างสมดุลให้กับพอร์ตการลงทุนมากยิ่งขึ้น

- นอกเหนือจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ แล้ว ตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่นถือเป็นภูมิภาคที่น่าสนใจจากทั้งมุมมองเศรษฐกิจและมูลค่าตลาด (Valuation) โดยยุโรปเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงนโยบายการเงินที่ยังอยู่ในระดับผ่อนคลาย ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างเชิงบวกในภาคธุรกิจ และการเร่งปรับปรุงธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน

 

2.2 Why PRINCIPAL GOPP-A ?

- ลงทุนในกองทุนหลัก Morgan Stanley Investment Funds Global Opportunity Fund ที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลกที่มีคุณภาพดีและเติบโตสูง 37 บริษัท 

- กองทุนถูกบริหารโดยผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนกว่า 22 ปี ร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอีกกว่า 22 ท่าน 

- คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up และ High Conviction ในบริษัทที่มีความสามารถในการปรับตัวตามภาวะการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก มีความได้เปรียบเชิงแข่งขัน มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
     - 1 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 33.0%
     - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 32.0% ต่อปี
     - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 12.0% ต่อปี

- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)

 

 

 

3.กองทุนหุ้นขนาดกลางขนาดเล็กสหรัฐฯ SCBRS2000(A)

 

3.1 Why Now ?

- หุ้นสหรัฐฯ ขนาดกลางขนาดเล็ก มีแนวโน้มได้รับประโยชน์โดยตรงจากงบประมาณ One Big Beautiful Bill (OBBB) โดยเฉพาะมาตรการต่ออายุการลดภาษีนิติบุคคล รวมถึงการยกเว้นภาษีในส่วนของทิปและค่าล่วงเวลา ซึ่งล้วนเป็นมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศโดยตรง เนื่องจากหุ้นขนาดเล็กมีสัดส่วนรายได้ที่พึ่งพาตลาดภายในประเทศสหรัฐฯ ในระดับสูง

- นอกจากนี้ หากเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงปลายปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนเพิ่มเติมให้กับหุ้นขนาดเล็ก เนื่องจากบริษัทขนาดเล็กส่วนใหญ่มักมีภาระหนี้ในรูปแบบดอกเบี้ยลอยตัว (floating rate debt) การลดดอกเบี้ยจึงช่วยลดต้นทุนทางการเงินได้มากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และอาจส่งผลเชิงบวกต่อผลประกอบการอย่างมีนัยสำคัญ

- อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มนี้ยังคงมีความผันผวนสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่จากโครงสร้างทางธุรกิจที่เปราะบางกว่า และฐานรายได้ที่จำกัดกว่า นักลงทุนจึงควรพิจารณาสัดส่วนน้ำหนักการลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้และทยอยกระจายลงทุนในกลุ่มดังกล่าวเพื่อโอกาสการเติบโตในระยะกลางถึงยาว

 

3.2 Why SCBRS2000(A) ?

- Russell 2000 Index เป็นดัชนีที่วัดผลการดำเนินงานของหุ้นขนาดเล็กในสหรัฐฯ โดยประกอบด้วยหุ้นจำนวน 2,000 บริษัทที่มีขนาดเล็กสุดในกลุ่ม Russell 3000 Index (ดัชนีที่รวมหุ้น 3,000 ตัวแรกที่มีมูลค่าตลาดใหญ่สุดในสหรัฐฯ)

- ลงทุนในกองทุนหลัก iShares Russell 2000 ETF (IWM) ที่มีขนาดกองทุนราว 6.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (Jun 2025) มีการกระจายการลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วสหรัฐฯ กว่า 2,000 บริษัทที่มีโอกาสเติบโตเร็วกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และลดความเสี่ยงจากการกระจุกตัวในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มการเงิน กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มสุขภาพ และกลุ่มเทคโนโลยี เป็นต้น 

- กองทุนหลักมีลักษณะการบริหารแบบ Passive Managed โดยมีอัตราค่าใช้จ่ายรวมที่ต่ำมากเพียง 0.19% ต่อปี ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่ากองทุนที่เป็นประเภท Active Managed

- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
     - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 9.9% ต่อปี
     - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 9.9% ต่อปี
     - 10 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 7.1% ต่อปี

- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 0.54%)

 

 

 

4.กองทุนหุ้นยุโรปปันผลยั่งยืน EHD

 

4.1 Why Now?

- กิจกรรมทางเศรษฐกิจยุโรปส่งสัญญาณเชิงบวก ภาคการบริการที่ยังคงขยายตัว ในขณะที่ภาคการผลิตมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยกิจกรรมในภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และกิจกรรมในภาคการผลิตมีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ

- การใช้นโยบายการคลังในกลุ่มประเทศยุโรปที่ผ่อนคลายมากขึ้น นำโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการเสริมสร้างศักยภาพด้านการป้องกันประเทศของเยอรมนี มีแนวโน้มช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองว่าเศรษฐกิจยุโรปมีแนวโน้มเติบโตเร่งตัวขึ้น โดยอ้างอิงจากรายงานของ World Bank เดือน มิ.ย. 2025 ที่มองว่า เศรษฐกิจยุโรปจะเติบโตขึ้น 0.7%, 0.8% และ 1.0% ในปี 2025-2027 ตามลำดับ

- คาดว่า EPS ของดัชนี STOXX 600 จะเริ่มเติบโตอย่างชัดเจนในปี 2026 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายการคลังของประเทศในยุโรป ซึ่งคาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนอย่างเต็มที่ในปี 2026 เราเชื่อว่าตลาดหุ้นยุโรปจะเริ่มรับรู้ปัจจัยบวกนี้ตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2025 จากนักลงทุนที่เริ่มมองหาโอกาสการลงทุนผ่านใช้การเติบโตของ EPS ใน 2026 เป็นปัจจัยช่วยในการตัดสินใจลงทุน ในขณะที่ Valuation ยังไม่แพง โดย STOXX 600 มี FWD PE อยู่ที่ระดับราว 14.65 เท่า ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง

 

4.2 Why EHD ?

- ลงทุนในกองทุนหลัก Goldman Sachs Eurozone equity Income ซึ่งกระจายลงทุนในหุ้นยุโรปที่มีเงินปันผลที่น่าสนใจและยั่งยืนราว 30-50 บริษัท โดยเชื่อว่าผลตอบแทนจากปันผลเป็นส่วนหลักในการสร้างผลตอบแทน และการที่มีปันผลที่สูงจะเป็นเบาะรองรับในช่วงที่ตลาดปรับตัวลง

- ถูกบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุน 2 ท่านที่มีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 28 ปี และมีทีมนักวิเคราะห์หุ้นยุโรปจำนวน 8 ท่านซึ่งมีประสบการณ์เฉลี่ยกว่า 21 ปี

- คัดเลือกหุ้นแบบ Bottom-up ในสไตล์ Core-value โดยหุ้นส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางที่มีขนาดบริษัทตั้งแต่ 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป โดยจะต้องเป็นบริษัทที่มีเงินปันผลยั่งยืน โดยมาจะดูจากโมเดลธุรกิจที่ดีมีความมั่นคงและมีระดับราคาที่น่าสนใจมาประกอบกัน

- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนหลัก (Jun 2025):
     - 1 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 12.9% ต่อปี
     - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 15.9% ต่อปี
     - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 12.9% ต่อปี

- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)

 

 

 

5.กองทุนหุ้นเวียดนาม PRINCIPAL VNEQ-A

 

5.1 Why Now ?

- ตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี จากความคาดหวังว่าเวียดนามอาจได้รับการอัปเกรดสถานะสู่กลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Markets) โดย FTSE ในรอบการประเมินเดือน ก.ย. 2025 จากพัฒนาการเชิงโครงสร้างที่ชัดเจน เช่น การยกเลิกข้อกำหนด Pre-funding การเปิดงานระบบซื้อขาย KRX และความพยายามต่อเนื่องในการอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหากเวียดนามได้รับการอัปเกรดสู่ FTSE EM คาดว่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเวียดนามรวมประมาณ 3-8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
 
- เศรษฐกิจเวียดนามยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยทางการเวียดนามปรับเป้าหมายการเติบโตของ GDP ในปี 2025 ขึ้นสู่ระดับ 8.3-8.5% จากเดิมที่ 8% นอกจากนี้ GDP เวียดนามไตรมาสที่ 2/2025 ขยายตัวถึง 7.96% แม้เผชิญกับการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ โดยรัฐบาลเวียดนามยังคงใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ ผ่านการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การลดภาษี Vat เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ หนุนให้เศรษฐกิจยังคงมีแนวโน้มขยายตัวขึ้น
 
- EPS Growth ของเวียดนามมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง อ้างอิงจาก Bloomberg Consensus ประเมินว่า VN Index จะมี EPS Growth ในปี 2025 ราว 34% ในขณะที่มี Fwd PE อยู่ที่ระดับ 10.9 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง

 

5.2 Why PRINCIPAL VNEQ-A ?

-  กองทุนรวมหุ้นเวียดนามกองทุนแรกในไทยที่ถูกจัดตั้งในปี 2017

- เน้นลงทุนในหุ้นเวียดนามโดยตรง ซึ่งพอร์ตการลงทุนบริหารโดยทีมผู้จัดการประสบการณ์สูงเฉลี่ยกว่า 11 ปี โดยประกอบด้วยกองทุนชาวไทยและเวียดนามรวม 7 ท่าน ทำให้สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลในเวียดนามได้โดยตรง รวมถึงการทำ Company Visit บริษัทเวียดนามที่เข้าลงทุน

- ใช้นโยบายการลงทุนเชิงรุก คัดเลือกหุ้นเวียดนาม 20-30 ตัว โดยวิธี FMV (Fundamental, Momentum, Valuation) และคัดเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีธรรมาภิบาล

- ผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุน (Jun 2025):
     - 1 ปีย้อนหลังเฉลี่ย -11.4%
     - 3 ปีย้อนหลังเฉลี่ย -1.1% ต่อปี
     - 5 ปีย้อนหลังเฉลี่ย 11.3% ต่อปี

- ค่าธรรมเนียมเมื่อซื้อกองทุน (Front-end Fee) = 0.00% สำหรับช่วงโปรโมชันเมื่อซื้อผ่าน InnovestX (จากปกติ 1.50%)



 

เงื่อนไขเป็นไปตามที่ บลจ. และบริษัทฯ กำหนด: สำหรับกองทุนที่ร่วมรายการ การแสดงข้อมูลอัตราค่าธรรมเนียมในแอป InnovestX และ Fund Fact Sheet จะยังคงแสดงเป็นค่าธรรมเนียมปกติแต่ในขั้นตอนซื้อผู้ลงทุนจะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียม Front-end fee แบบอัตโนมัติ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจ ลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุนของกองทุนรวมมีลักษณะเฉพาะ ผู้ลงทุนสามารถขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่ บล.อินโเวสท์ เอกซ์

 

คำเตือน: กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะ เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงของกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน ผลการดำเนินงานในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต ขอรับข้อมูลเพิ่มเติมหรือหนังสือชี้ชวนได้ที่บล.อินโนเวสท์เอกซ์

Most Viewed Ideas
Related Ideas
Most Viewed Ideas