Idea Playlists

ไกด์นำทาง US Penny Stock: Series เจาะลึกกลยุทธ์ Technical Analysis & Market Psychology

22 Dec 25 5:03 PM
Idea Playlists - Other Ideas
Key Summary

หัวใจสำคัญของซีรีส์ชุดนี้คือการบูรณาการความรู้ด้านจิตวิทยาตลาดร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคเพื่อหาจุดได้เปรียบในการลงทุน โดยเริ่มจากการระบุตำแหน่งของหุ้นใน Market Cycle (EP.1) เพื่อหลีกเลี่ยงระยะขาลงและเลือกลงทุนเฉพาะในระยะขาขึ้น (Stage 2) ควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังภาวะ Market Bubble (EP.2) ที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ FOMO จนราคาเกินพื้นฐาน การใช้ Wyckoff Method (EP.3) ช่วยให้เราอ่านรอยเท้าของรายใหญ่ผ่านความสัมพันธ์ของราคาและวอลุ่ม โดยเฉพาะจังหวะสะสมพลังก่อนวิ่งแรง ขณะที่ Elliott Wave (EP.4) ช่วยระบุโครงสร้างการเคลื่อนที่ของราคาตามธรรมชาติ และปิดท้ายด้วยการใช้ Price Pattern (EP.5) เพื่อหาจุดเข้าซื้อที่คมชัดและมีวินัย การประสานเครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถคัดกรองหุ้นที่มีโอกาสชนะสูงและจำกัดความเสี่ยงได้อย่างเป็นระบบ

EP.1 Market Cycle (วัฏจักรตลาด)

วันที่: 20 Nov 2025

การเข้าใจวงจรชีวิตของหุ้นคือหัวใจสำคัญในการ "วางตำแหน่ง" ตัวเองในตลาด เพื่อลดความเสี่ยงจากการเข้าผิดจังหวะ โดยตลาดมักเคลื่อนไหววนลูป 4 ระยะ ดังนี้:

 

  • Accumulation (ระยะสะสม): เกิดขึ้นหลังจากการปรับตัวลงอย่างรุนแรงจนราคาเริ่มนิ่ง เป็นช่วงที่ "Smart Money" หรือสถาบันเริ่มทยอยเก็บของอย่างเงียบๆ กราฟจะเคลื่อนไหวในลักษณะไซด์เวย์ออกข้าง (Sideways) วอลุ่มมักจะต่ำกว่าปกติเนื่องจากตลาดขาดความสนใจ
  • Mark-up (ระยะขาขึ้น): เมื่อแรงซื้อเริ่มชนะแรงขาย ราคาจะเริ่มทะลุผ่านแนวต้านสำคัญพร้อมวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ระยะนี้คือช่วงที่นักลงทุนควร "Let the Profit Run" เพราะกระแสข่าวบวกจะเริ่มหนุนความเชื่อมั่นของรายย่อย
  • Distribution (ระยะแจกจ่าย): ระยะที่อันตรายที่สุด ราคาอาจทำ New High แต่เริ่มมีความผันผวนรุนแรง (Volatility) เป็นช่วงที่รายใหญ่เริ่มระบายของให้กับรายย่อยที่เพิ่งเข้ามาด้วยความโลภ สังเกวตได้จากการที่ราคาพยายามดันขึ้นแต่ถูกขายกดลงมาบ่อยครั้ง
  • Mark-down (ระยะขาลง): เมื่อแรงขายท่วมท้นจนแนวรับหลุด ราคาจะปรับตัวลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง นักลงทุนที่ไม่ยอมตัดขาดทุนมักจะติดดอยในระยะนี้ การถือหุ้นในระยะนี้มีโอกาสขาดทุนสูงมากและใช้เวลานานกว่าจะกลับตัว

 

🔗 อ่านฉบับเต็ม: Market Cycle

 

 

EP.2 Market Bubble (ฟองสบู่ตลาด)

วันที่: 24 Nov 2025

ฟองสบู่คือปรากฏการณ์ที่ราคาหลักทรัพย์พุ่งสูงเกินพื้นฐานความจริงไปไกลมาก โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักจาก "อารมณ์" มากกว่า "ข้อมูล" ซึ่งมักมี 5 ลำดับเหตุการณ์ดังนี้:

 

  • Displacement: จุดเปลี่ยนที่สร้างความคาดหวังใหม่ เช่น การมาถึงของเทคโนโลยี AI, พลังงานสะอาด หรือนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อประโยชน์ ทำให้กลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ เริ่มถูกจับตามอง
  • Boom: เมื่อกระแสเริ่มติด ราคาจะพุ่งขึ้นเรื่อยๆ พร้อมการประโคมข่าวจากสื่อสำนักใหญ่ นักลงทุนเริ่มรู้สึกว่า "พลาดไม่ได้" (FOMO) นำไปสู่การแห่เข้าซื้อตามกระแส
  • Euphoria: ภาวะฟุ้งเฟ้อสูงสุด ราคาพุ่งขึ้นในแนวดิ่ง นักลงทุนเริ่มละทิ้งเหตุผลและเชื่อว่า "ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม" (This time is different) สังเกตได้จากการที่ใครๆ ก็พูดถึงหุ้นตัวนั้น แม้แต่คนที่ไม่เคยลงทุนมาก่อน
  • Profit Taking: นักลงทุนกลุ่มแรกๆ ที่เข้าซื้อตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นจะเริ่มทยอยขายทำกำไรออกมาอย่างเงียบๆ แม้ราคาจะยังดูแข็งแกร่ง แต่เริ่มมีแรงขายดักไว้ที่ด้านบนเสมอ
  • Panic: เมื่อความจริงปรากฏและราคาหลุดแนวรับสำคัญ ความกลัวจะเข้าครอบงำตลาดทันที เกิดการแห่เทขายพร้อมกันในทุกระดับราคาจนฟองสบู่แตกสลาย และทิ้งความเสียหายไว้เป็นวงกว้าง

 

🔗 อ่านฉบับเต็ม: Market Bubble

 

 

EP.3 Wyckoff Method

วันที่: 01 Dec 2025

แนวคิดของ Richard Wyckoff มุ่งเน้นไปที่การอ่านพฤติกรรมของ "Composite Man" หรือผู้เล่นรายใหญ่ที่มีอิทธิพลต่อทิศทางราคา โดยมีกฎเหล็กที่ต้องทำความเข้าใจ 3 ข้อ:

 

  1. Supply vs Demand: เมื่อความต้องการซื้อ (Demand) มากกว่าปริมาณขาย (Supply) ราคาจะขึ้น และในทางกลับกัน หากปริมาณขายล้นตลาด ราคาจะลง เป็นกลไกพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
  2. Cause and Effect: ตลาดไม่เคยเคลื่อนที่อย่างไร้เหตุผล การที่ราคาจะพุ่งขึ้นแรงได้ (Effect) จะต้องมีการสะสมพลังหรือสร้าง "เหตุ" (Cause) ในกรอบสะสมนานพอสมควร ยิ่งสะสมนานเท่าไหร่ ผลลัพธ์ตอนทะลุกรอบมักจะรุนแรงเท่านั้น
  3. Effort vs Result: การเปรียบเทียบปริมาณการซื้อขาย (Volume) กับการเปลี่ยนแปลงของราคา หากวอลุ่มเข้าเยอะมาก (Effort) แต่ราคาไม่ไปไหน (No Result) อาจเป็นสัญญาณเตือนว่ามีแรงขายดักรออยู่ หรือแนวโน้มเดิมกำลังจะสิ้นสุดลง

 

นัยสำคัญ: การระบุจังหวะ Spring (การตบราคาหลุดแนวรับเพื่อสลัดรายย่อยก่อนวิ่งขึ้นจริง) คือท่าไม้ตายที่ช่วยให้นักลงทุนเข้าซื้อได้ในจุดที่ได้เปรียบที่สุด

 

🔗 อ่านฉบับเต็ม: Wyckoff Method

 

 

EP.4 Elliott Wave Analysis

วันที่: 09 Dec 2025

ทฤษฎีคลื่นของ Elliott มองว่าตลาดหุ้นคือเงาสะท้อนของ "จิตวิทยามวลชน" ซึ่งมีความเป็นระเบียบในความไร้ระเบียบ (Fractal) โดยมีการเคลื่อนตัวแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบหลัก:

 

1. Motive Waves (คลื่นกระแสหลัก 5 คลื่น)

เป็นช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ตามแนวโน้มหลัก (Trend) ประกอบด้วย:

  • Wave 1: การก่อตัวของแนวโน้มใหม่หลังจากผ่านจุดต่ำสุด มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดเริ่มคลายความกังวล

  • Wave 2: การปรับฐานชั่วคราวเพื่อลดความร้อนแรงของ Wave 1 จุดสำคัญคือราคาห้ามหลุดจุดเริ่มต้นของ Wave 1

  • Wave 3: "คลื่นมหาชน" เป็นช่วงที่ราคาพุ่งแรงและยาวที่สุด วอลุ่มหนาแน่นมาก เป็นระยะที่สร้างผลตอบแทนสูงสุด

  • Wave 4: การพักตัวเพื่อสะสมพลังรอบสุดท้าย มักมีความซับซ้อนและใช้เวลานานกว่า Wave 2

  • Wave 5: "คลื่นแห่งความโลภ" ราคาพุ่งขึ้นรอบสุดท้ายพร้อมสัญญาณเตือน (Divergence) ก่อนจะจบวงจรขาขึ้น

 

2. Corrective Waves (คลื่นปรับฐาน 3 คลื่น)

เป็นการปรับสมดุลราคา (A-B-C) หลังจากจบวงจร 5 คลื่นหลัก เพื่อล้างความร้อนแรงของตลาด:

  • Wave A: คลื่นเริ่มต้นของการพักตัว นักลงทุนส่วนใหญ่มักมองว่าเป็นเพียงการย่อตัวเพื่อซื้อ (Buy the dip) ทำให้ยังไม่ระวังตัว

  • Wave B: "คลื่นหลอก" หรือ Bull Trap ราคาดีดกลับขึ้นไปหาจุดสูงสุดเดิมแต่ไม่ผ่าน Wave 5 เป็นจังหวะที่รายใหญ่ใช้ระบายของรอบสุดท้าย

  • Wave C: "คลื่นล้างพอร์ต" ราคาปรับตัวลงรุนแรงและต่อเนื่องจนเกิดภาวะ Panic Sell ซึ่งจุดจบของคลื่น C คือโอกาสในการเริ่มรอบใหม่

 

🔗 อ่านฉบับเต็ม: Elliott Wave Analysis

 

 

EP.5 Price Pattern (รูปแบบราคา)

วันที่: 15 Dec 2025

รูปแบบราคาคือการย่อส่วนของอารมณ์ตลาดมาไว้ในกราฟ เพื่อให้เรามองเห็นร่องรอยการต่อสู้และจังหวะเสียเปรียบ/ได้เปรียบ:

 

  1. Continuation Patterns (รูปแบบไปต่อ): เปรียบเสมือนการ "แวะเติมน้ำมัน" ของเทรนด์
    • Flag & Pennant: ราคาพุ่งขึ้นแรงแล้วพักตัวในกรอบแคบๆ เหมือนรูปธง เป็นสัญญาณว่าแรงซื้อยังไม่หมดและเตรียมจะวิ่งต่อไป
    • Wedge (Falling Wedge ในขาขึ้น): การบีบตัวของราคาที่ทำจุดต่ำสุดใหม่แต่ไม่แรง เป็นการบีบให้แรงขายหมดไปก่อนจะเบรคเอาท์ขึ้นต่อ
  2. Reversal Patterns (รูปแบบกลับตัว): สัญญาณเตือนเมื่อเทรนด์เริ่มหมดแรง
    • Double Top / Bottom: การพยายามทำ High หรือ Low ใหม่แต่ทำไม่ได้ สะท้อนถึงแรงต้าน/แนวรับที่แข็งแกร่งมากจนเทรนด์ต้องเปลี่ยนทิศ
    • Head and Shoulders: รูปแบบที่ทรงพลังที่สุดในการบอกว่าขาขึ้นสิ้นสุดลงแล้ว โดยราคาไม่สามารถทำ High ใหม่ได้ (ไหล่ขวาต่ำกว่าหัว)

 

กลยุทธ์แนะนำ: เพื่อเพิ่ม Win Rate ให้สูงสุด ควรใช้ InnovestX Stage Screener คัดกรองหุ้นให้อยู่ใน Stage 2 (ขาขึ้นชัดเจน) ก่อน จากนั้นจึงมองหา Price Pattern เช่น รูปธง (Flag) เพื่อใช้เป็นจุดเข้าซื้อที่คมที่สุด พร้อมวางจุด Stop Loss ไว้ใต้กรอบราคาที่พักตัว

 

🔗 อ่านฉบับเต็ม: Price Pattern

 

Disclaimer: ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ข้อมูลข้างต้นไม่ใช่คำแนะนำลงทุนและมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ผลลัพธ์นำเสนอจากการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยทางเทคนิคและแบบจำลองทางสถิติในอดีต (Historical Data) ภายใต้สมมติฐานที่กำหนด ผลการทดสอบย้อนหลังมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต การลงทุนตามแบบจำลองดังกล่าวมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดและความผิดพลาดของแบบจำลอง (Model Risk)

Most Viewed Ideas
Related Ideas
Most Viewed Ideas