เริ่มจากความเข้าใจพื้นฐาน: Long Only คืออะไร
แม้คำว่า “Options” อาจฟังดูซับซ้อนในสายตานักลงทุนมือใหม่ แต่จริง ๆ แล้ว หากเริ่มจากการ “ซื้อ” Options อย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็น Call หรือ Put ก็สามารถเข้าใจและเริ่มต้นได้ไม่ยาก เพราะกลยุทธ์แบบ Long Only นี้ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนการขาย Option หรือการทำ Spread แต่อย่างใด เพียงแค่เข้าใจหลักการ 3 ขั้นตอน คือการเลือกทิศทาง เลือกราคา และเลือกระยะเวลาให้เหมาะสม ก็สามารถเริ่มต้นเทรดได้ทันที
ขั้นตอนที่ 1: มองทิศทางตลาด เลือก Call หรือ Put
ขั้นตอนแรกคือการมองทิศทางของตลาดหรือของหุ้นเป้าหมาย ว่าคุณคิดว่าราคาจะ “ขึ้น” หรือ “ลง” ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นในการเลือกประเภทของ Option หากคุณมองว่าหุ้นจะขึ้นในช่วงเวลาข้างหน้า คุณควรเลือกซื้อ Call Option ซึ่งจะให้สิทธิ์คุณในการซื้อหุ้นในราคาที่กำหนด หากราคาหุ้นขยับขึ้นจริง คุณจะสามารถขาย Option นั้นออกไปได้กำไรจากส่วนต่าง แต่หากคุณเชื่อว่าหุ้นจะปรับตัวลดลง คุณควรเลือกซื้อ Put Option แทน ซึ่งจะได้กำไรหากราคาหุ้นร่วงลงต่ำกว่าราคาที่กำหนดไว้ในสัญญา
ขั้นตอนที่ 2: เลือก Strike Price ที่เหมาะสม
เมื่อคุณเลือกทิศทางได้แล้ว ขั้นตอนถัดมาคือการเลือก Strike Price หรือราคาที่ระบุไว้ใน Option ว่าคุณจะมีสิทธิ์ซื้อหรือขายหุ้นที่ราคาเท่าใด ตรงนี้คือจุดที่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับความคาดหวังและระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ Strike Price มีหลายระดับ และถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลักคือ In the Money (ITM), At the Money (ATM) และ Out of the Money (OTM) โดยแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะของตัวเอง เช่น ITM มีค่าใช้จ่ายหรือ Premium แพงกว่า แต่มีโอกาสทำกำไรได้ง่ายกว่า ส่วน OTM มีต้นทุนต่ำ เหมาะกับการเก็งกำไรแบบหวังผลตอบแทนสูงแต่ก็มีความเสี่ยงที่สูงตามไปด้วย ในขณะที่ ATM คือจุดกึ่งกลาง ซึ่งมักเป็นที่นิยมในสถานการณ์ที่ตลาดยังไม่ชัดเจนมากนัก
นอกจากระดับของ Strike Price แล้ว ยังมีปัจจัยอื่นที่ควรพิจารณาประกอบ เช่น ค่า Delta ที่สะท้อนว่าราคา Option จะเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนเมื่อราคาหุ้นขยับ ค่า Open Interest และ Volume ที่บ่งชี้ถึงสภาพคล่อง และค่า Implied Volatility ซึ่งบอกเป็นนัยถึงความคาดหวังของตลาดต่อความผันผวนในอนาคต ซึ่งถ้าสูงเกินไปก็อาจทำให้ Option นั้นดูแพงเกินจริง
ขั้นตอนที่ 3: เลือกระยะเวลาหมดอายุให้สัมพันธ์กับเหตุการณ์
ขั้นตอนสุดท้ายคือการเลือกระยะเวลาหมดอายุของ Option หรือที่เรียกว่า Expiration Date โดยคุณควรเลือกวันหมดอายุที่สอดคล้องกับ “เหตุการณ์สำคัญ” ที่คุณใช้ในการวิเคราะห์ เช่น งบการเงิน การเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือการประกาศนโยบายต่าง ๆ เพราะหากคุณเลือก Option ที่หมดอายุก่อนเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น คุณอาจหมดสิทธิ์ทำกำไรไปอย่างน่าเสียดาย ยกตัวอย่างเช่น หากหุ้น Tesla (TSLA) มีกำหนดประกาศงบไตรมาสในวันที่ 30 กันยายน 2568 และคุณต้องการซื้อ Call Option วันนี้เพื่อเก็งกำไรจากข่าวงบการเงิน คุณควรเลือก Option ที่มีวันหมดอายุอย่างน้อย 1-2 วันหลังวันประกาศงบ เช่น Option ที่หมดอายุวันที่ 4 ตุลาคม เพราะราคาหุ้นมักจะตอบสนองต่อข่าวสารหลังจากประกาศ ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น
สรุป: เริ่มเทรด Options ได้ง่าย แค่เข้าใจหลักการ
การเทรด Options ให้สำเร็จไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสมอไป หากคุณเริ่มต้นจากการเข้าใจพื้นฐานทั้ง 3 ขั้นตอน คือ การเลือกทิศทางที่คุณเชื่อมั่น การเลือกระดับราคาที่เหมาะสมกับความเสี่ยงของคุณ และการเลือกระยะเวลาที่ไม่เร่งรีบจนเกินไป เพื่อให้ตลาดมีเวลาตอบสนองต่อข่าวสาร เท่านี้คุณก็สามารถก้าวแรกเข้าสู่โลกของ Options ได้อย่างมั่นใจ
Options เป็นเครื่องมือที่ให้โอกาสในการใช้เงินน้อยแต่มีอัตราทดที่สูง (leverage) ซึ่งหมายความว่าหากคุณวิเคราะห์ถูกต้อง ผลตอบแทนก็จะสูงกว่าการซื้อหุ้นโดยตรงหลายเท่า แต่ในขณะเดียวกัน หากวิเคราะห์ผิด คุณอาจขาดทุนทั้งหมดที่จ่ายไปเป็นค่า Premium ได้เช่นกัน ดังนั้น การฝึกวิเคราะห์ให้แม่นยำ และเลือกเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์คือหัวใจสำคัญของการเทรด Options อย่างมีวินัยและยั่งยืน
US Options
🚀 ลงทุน US Options กับ InnovestX ได้แล้ว!
ครั้งแรกบน InnovestX ที่ให้คุณเทรด US Options ได้ทั้งบนแอปและ WebTrade สะดวกกว่าเดิม พร้อมเครื่องมือครบมือเหมือนเดิม
✅ เติมเงินเข้า wallet ได้ real-time
✅ ฝาก-ถอน ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
✅ เครื่องมือเทรดผ่านเว็บไซต์ สามารถใช้ผ่าน PC ให้สามารถเทรดได้แบบมืออาชีพ
✅ มีข้อมูล real-time market data ของ US Options ให้ subscribe ในราคาดีเข้าถึงง่าย เพียง 1.25 USD/Month
✅ ใช้บัญชีเดียวกับบัญชีหุ้นสหรัฐฯ ไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่
📱 ดาวโหลดและเปิดบัญชีกับ InnovestX คลิก https://innovestx.onelink.me/23if/2jlpsi7b
📱 รายละเอียดและคู่มือการเปิดใช้บริการ US Options คลิก https://www.innovestx.co.th/us-options
⚠️ คำเตือน: ผู้ลงทุนควรศึกษา ทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน ผลงานในอดีตมิได้เป็นสิ่งที่รับประกันผลงานในอนาคต เงินลงทุนอาจสูญหาย และควรศึกษาความเสี่ยงก่อนลงทุน
