กำไรปกติ 3Q67 อยู่ที่ 2.4 พันลบ. (+40% YoY และ +11% QoQ) สูงกว่าคาด 14% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาดซึ่งเป็นผลมาจากการมียอดขายสินค้าอาหารสดที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มขึ้นทั้งในธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C ดัวยเหตุนี้ เราจึงปรับประมาณการกำไรปี 2567-2568 ของ CPAXT เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่ใน 4Q67TD เราคาดว่า SSS ของ CPAXT จะเติบโต 2-3% YoY (เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 1.5-2% YoY ใน 3Q67) โดยได้รับประโยชน์จากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท ให้แก่กลุ่มเปราะบางจำนวน 14.5 ล้านคน ในสัปดาห์แรกของเดือนต.ค. และกลับสู่ภาวะปกติ (ยังเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำ YoY) ในเวลาต่อมา เราคาดว่ากำไร 4Q67 จะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ โดยจะเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล และ YoY จากยอดขายที่สูงขึ้นและมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น ทั้งนี้ภายหลังควบรวมกิจการ synergy จะเริ่มมีให้เห็นใน 4Q67 และชัดเจนมากขึ้นในปี 2568-2570 เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ CPAXT โดยปรับราคาเป้าหมายกลางปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC 7.0% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ใหม่เป็น 41 บาท (จาก 40 บาท)
กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 1.95 พันลบ. +16% YoY แต่ -10%QoQ เป็นไปตามตลาดคาด หากไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษหลังภาษีจำนวน 458 ลบ. (ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 258 ลบ. และค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการจำนวน 200 ลบ.) กำไรปกติ 3Q67 อยู่ที่ 2.4 พันลบ. +40% YoY และ +11% QoQ สูงกว่าคาด 14% เพราะอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าคาด กำไรปกติที่ปรับตัวดีขึ้น YoY ได้แรงหนุนจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น (ธุรกิจ B2B และธุรกิจ B2C) ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายไม่เปลี่ยนแปลง (การปรับตัวลดลงในธุรกิจ B2C ถูกชดเชยโดยการปรับตัวเพิ่มขึ้นในธุรกิจ B2B)
ธุรกิจ B2B (ธุรกิจค้าส่ง; แม็คโคร) ใน 3Q67 กำไรปกติของธุรกิจ B2B อยู่ที่ 1.3 พันลบ. +2% YoY (เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส) และ +35% QoQ กำไรปกติที่ปรับตัวดีขึ้น YoY ได้รับการสนับสนุนจาก: 1) ยอดขายที่สูงขึ้น (+5% YoY) จากการขายสาขา โดยมี NSA ที่ 0.93 ล้านตร.ม. (+6% YoY, +2% QoQ) ณ สิ้น 3Q67 และ SSS ที่ +1.5% YoY โดยสัดส่วนยอดขายสินค้าอาหารสดต่อยอดขายรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 41.9% (เทียบกับ 41.1% ใน 3Q66) และสัดส่วนยอดขายผ่าน omnichannel เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 23.6% (เทียบกับ 17.1% ใน 3Q66); 2) อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น (+70bps YoY) จากมาร์จิ้นที่ดีขึ้นของกลุ่มสินค้าอาหารสดในประเทศไทย รวมถึงธุรกิจแม็คโครต่างประเทศและธุรกิจ food service ที่ดีขึ้น; 3) อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น (+40bps YoY) จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น (+9% YoY จากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจาก omnichannel และการขยายสาขา, แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ช้ากว่า +16% YoY ใน 1H67) ทั้งนี้บริษัทพบว่ายอดขาย omnichannel เพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าค่าใช้จ่ายเป็นครั้งแรกใน 3Q67
ธุรกิจ B2C (ธุรกิจค้าปลีก; Lotus’s) ใน 3Q67 กำไรปกติของธุรกิจ B2C อยู่ที่ 1.1 พันลบ. +143% YoY แต่ -8% QoQ กำไรปกติที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก YoY ได้รับการสนับสนุนจาก: 1) ยอดขายธุรกิจค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น (+3% YoY) จาก NSA ที่ 1.8 ล้านตร.ม. (ทรงตัว YoY) และ SSS ที่เติบโต 2.3% YoY (+2.4% YoY ในประเทศไทย และ 1.7% YoY ในประเทศมาเลเซีย) โดยสัดส่วนยอดขายกลุ่มสินค้าอาหารสดต่อยอดขายรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 27.5% (เทียบกับ 26.8% ใน 3Q66) และสัดส่วนยอดขาย omnichannel เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12.5% (เทียบกับ 9.1% ใน 3Q66); 2) อัตรากำไรขั้นต้นจากธุรกิจค้าปลีกที่กว้างขึ้น (+70bps YoY) โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากประเทศไทย (+40bps YoY; 84% ของยอดขาย) และประเทศมาเลเซีย (+200bps YoY; 16% ของยอดขาย) จากการมียอดขายกลุ่มอาหารสดที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงมากขึ้นในทั้งสองประเทศ และการมียอดขายบุหรี่และสุราที่มีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำลดลงในประเทศมาเลเซีย; 3) รายได้จากการให้เช่าและบริการในระดับทรงตัว โดยมี NLA ถาวรที่ 1.1 ล้านตร.ม. (+3% YoY) ณ สิ้น 3Q67 และอัตราการเช่าพื้นที่ 92-93% (ทรงตัว YoY) ท่ามกลางอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 54.9% (เทียบกับ 52.1% ใน 3Q66); 4) อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ลดลง (-50bps YoY) จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้น (+1% YoY) ในอัตราที่ช้ากว่ายอดขาย (+3% YoY)
ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลและกำลังซื้อ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านแรงงาน และความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (S)