กำไรสุทธิ 3Q67 ออกมาตามคาดที่ 1.44 พันลบ. -6% YoY และ -11% QoQ โดยกำไรสุทธิที่ลดลง YoY เกิดจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 42 ลบ. ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้นช่วยชดเชยยอดขายที่อ่อนแอลงและอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลดลง 3% เพื่อสะท้อนขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนใน 3Q67 ทั้งนี้ในเดือนต.ค. ถึงปัจจุบัน เราพบสัญญาณบวกเล็กน้อยจาก SSS ที่ปรับตัวดีขึ้น โดย SSS พลิกกลับมาเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำถึงระดับกลาง YoY ในร้านเมกาโฮม และลดลงในอัตราที่ชะลอตัวลงเป็นตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำถึงระดับกลาง YoY ในร้านโฮมโปร (เทียบกับ -3.9% YoY และ -5.8% YoY ใน 3Q67) ด้วย SSS ที่ปรับตัวดีขึ้น การขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้น เราจึงคาดว่ากำไร 4Q67 จะเติบโต YoY และ QoQ ปัจจุบันหุ้น HMPRO ซื้อขายที่ PE ปี 2567 ระดับ 20 เท่า (ต่ำกว่าระดับ -2S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปีที่ 22 เท่า) และผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจที่ 3.9% เรายังคงคำแนะนำ OUTPERFORM สำหรับ HMPRO โดยปรับราคาเป้าหมายกลางปี 2568 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.0% และอัตราการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ใหม่เป็น 13 บาท (จาก 13.5 บาท)
กำไรสุทธิ 3Q67 อยู่ที่ 1.44 พันลบ. -6% YoY และ -11% QoQ เป็นไปตามที่ตลาดคาด โดยหากไม่นับขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 42 ลบ. ใน 3Q67 (เทียบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 27 ลบ. ใน 3Q66 และ 9 ลบ. ใน 2Q67) กำไรปกติอยู่ที่ 1.48 พันลบ. ทรงตัว YoY แต่ -8% QoQ กำไรปกติที่อยู่ในระดับทรงตัว YoY สะท้อนถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้นซึ่งช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงจาก SSS ที่หดตัวลงและอัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่สูงขึ้น
รายการที่สำคัญใน 3Q67 รายได้ ลดลง 3% YoY สู่ 1.6 หมื่นลบ. เนื่องจาก SSS ที่หดตัวลงไปหักล้างการขยายสาขา เราประเมินได้ว่า SSS ในร้านโฮมโปร (81% ของยอดขาย) ลดลง 5.8% YoY และร้านเมกาโฮม (17% ของยอดขาย) ลดลง 3.9% YoY ในประเทศไทย เพราะได้รับผลกระทบจาก: 1) การที่ผู้บริโภคระมัดระวังในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นท่ามกลางความกดดันทางด้านปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆ; 2) ผลกระทบจากฝนที่ตกสูงกว่าเฉลี่ยในช่วงฤดูฝนของประเทศไทย และสถานการณ์น้ำท่วมเป็นวงกว้างในภาคเหนือและภาคกลางตอนบน; 3) ผลกระทบจากการก่อสร้างถนนหน้าร้านโฮมโปร ราชพฤกษ์ที่ยังคงดำเนินการอยู่ (ทำให้ SSS ลดลงราว 1% YoY) เราประเมินว่า SSS ที่ร้านโฮมโปรในประเทศมาเลเซีย (2% ของยอดขาย) ลดลง 1.4% YoY ทั้งนี้ใน 3Q67 HMPRO เปิดสาขาใหม่ 3 สาขา (โฮมโปร หนองคาย, โฮมโปร ระยอง, และเมกาโฮม ระยอง) ส่งผลทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 133 สาขา ณ สิ้น 3Q67 (+3% YoY และ +2% QoQ) อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้น 30bps YoY สู่ 27.1% จากการมีสัดส่วนยอดขายสินค้า private brand ที่มีมาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่เกิดจากร้านเมกาโฮม และส่วนหนึ่งเกิดจากร้านโฮมโปร EBIT margin แคบลง 20bps YoY สู่ 12.3% จากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 42 ลบ. ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง (-1% YoY, จากค่าสาธารณูปโภคและค่าใช้จ่ายจากการจ้างแรงงานภายนอกที่ลดลงมากกว่าค่าใช้จ่ายในการเปิดสาขาใหม่ที่สูงขึ้น) ในอัตราที่ช้ากว่ายอดขาย (-3% YoY) และรายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นในระดับทรงตัว (รายได้ค่าเช่าและบริการสำหรับมอลล์ในแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น 8% YoY ถูกหักล้างโดยรายได้อื่นที่ลดลง 8% YoY จากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าลดลง)
ปรับประมาณการและแนวโน้มกำไร เราปรับประมาณการกำไรปี 2567 ลดลง 3% เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้นจากขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจำนวน 42 ลบ. ใน 3Q67 ทั้งนี้ในเดือนต.ค. ถึงปัจจุบัน เราคาดว่า SSS ของ HMPRO จะหดตัวลง โดยจะลดลงในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำถึงระดับกลาง YoY ในร้านโฮม โปร (ลดลงในอัตราที่ช้าลง เทียบกับ -5.8% YoY ใน 3Q67) แต่จะกลับมาเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับต่ำถึงระดับกลาง YoY ในร้านเมกาโฮม (เทียบกับ -3.9% YoY ใน 3Q67) จากความต้องการปรับปรุงและซ่อมแซมเพิ่มมากขึ้นในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม กำลังซื้อที่ดีขึ้นจากการแจกเงิน 10,000 บาทให้แก่กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ตั้งแต่ปลายเดือนก.ย. และการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นจากฐานต่ำของปีก่อน (+157% YoY ในเดือนต.ค. ถึงปัจจุบัน) การคาดการณ์ว่า SSS จะปรับตัวดีขึ้น (ด้วยฐานปกติจากผลกระทบเฉพาะสาขาจากการซ่อมถนนในช่วงปลาย 4Q67) การเปิดร้านโฮมโปรใหม่ 2 สาขาตามเป้า และมาร์จิ้นที่กว้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราคาดว่ากำไร 4Q67 จะเติบโต YoY และ QoQ
ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อและนโยบายรัฐบาลใหม่ ความเสี่ยง ESG ที่สำคัญ คือ การบริหารจัดการพลังงานและของเสีย ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (E) และการบริหารจัดการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แนวปฏิบัติด้านการจ้างงาน และความปลอดภัยของข้อมูล (S)