ด้วยยอดใช้จ่ายต่อบิลที่สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มพาณิชย์ HMPRO จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักจากโครงการ E-refund ซึ่งจะเสนอให้ครม.อนุมัติในเดือนธ.ค. และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.-ก.พ. 2567 ราคาหุ้น HMPRO ยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการ E-refund เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนประกาศรายละเอียดของโครงการ E-refund และตอนนี้เทรดที่ PE ปี 2566 ระดับ 24 เท่า หรือเท่ากับระดับ -2S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปี กำไร 4Q66 ที่คาดว่าจะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ การจัดตั้งกองทุน TESG (SET ESG rating ของ HMPRO อยู่ที่ระดับ “AA”) และการอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ จะเป็นปัจจัยกระตุ้นราคาหุ้นในระยะสั้น เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF ที่ 15 บาท ปัจจัยกระตุ้น#1: ผู้ได้รับประโยชน์จากโครงการ E-refund เมื่อวันที่ 10 พ.ย. นายกรัฐมนตรีได้แถลงรายละเอียดของโครงการ E-refund เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นครั้งแรก โดยมีแผนเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติในเดือนธ.ค. และจะมีผลบังคับใช้ในเดือนม.ค.-ก.พ. 2567 โดยมาตรการนี้ ผู้เสียภาษีจะได้รับภาษีคืนจากการจับจ่ายสินค้าและบริการมูลค่ารวมไม่เกิน 50,000 บาท ทั้งนี้ เราประเมินว่าการลดหย่อนภาษีชอปปิ้งครั้งล่าสุด (ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 40,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. 2566 เพิ่มขึ้นจาก 30,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 15 ก.พ. 2565) ช่วยกระตุ้น SSS growth ของ HMPRO ได้ 2% YoY สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มพาณิชย์ เนื่องจากยอดใช้จ่ายต่อบิลของ HMPRO สูงกว่าบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มฯ ดังนั้นเราจึงคาดว่า HMPRO จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักในกลุ่มพาณิชย์จากมาตรการครั้งนี้เช่นกัน ปัจจัยกระตุ้น#2: โครงการ E-refund ยังไม่ได้สะท้อนในราคาหุ้น ราคาหุ้น HMPRO ยังไม่ได้สะท้อนประโยชน์จากโครงการ E-refund เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อนประกาศรายละเอียดของโครงการ E-refund และตอนนี้เทรดที่ PE ปี 2566 ที่ 24 เท่า ซึ่งเท่ากับระดับ -2S.D. จาก PE เฉลี่ย 10 ปี ปัจจัยกระตุ้น#3: กำไร 4Q66 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ แม้ SSS จะยังคงหดตัวลงใน 4Q66TD แต่เราคาดว่ากำไร 4Q66 ของ HMPRO อย่างน้อยที่สุดจะอยู่ในระดับทรงตัว หรือเพิ่มขึ้น YoY จากจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้นและมาร์จิ้นที่ดีขึ้น และเพิ่มขึ้น QoQ จากปัจจัยฤดูกาล ยอดขายดีขึ้นจากการขยายสาขา ใน 4Q66 เราประเมินได้ว่ายอดขายของ HMPRO จะเติบโต YoY โดยได้แรงหนุนจากการขยายสาขา โดยใน 4Q66 HMPRO วางแผนเปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ซึ่งจะทำให้บริษัทมีสาขารวมทั้งหมด 127 สาขา ณ สิ้นปี 2566 (+9% YoY และ +2% QoQ) ประกอบด้วยร้านเมกาโฮม 1 สาขาที่จังหวัดนครศรีธรรมราช สาขาเมกาโฮมและสาขาโฮมโปรติดกันที่จังหวัดภูเก็ต (หลังจากพบว่ายอดขายเป็นที่น่าพอใจท่ามกลางค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายลงทุนที่ลดลงจากการเปิดสาขาเมกาโฮมและสาขาโฮมโปรติดกันที่จังหวัดขอนแก่นในปี 2565) ในเดือนต.ค. ถึงกลางเดือนพ.ย. SSS ของบริษัทลดลงในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลาง YoY เพราะได้รับผลกระทบจาก: 1) กำลังซื้อที่เปราะบางในต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ (ยกเว้นพื้นที่ท่องเที่ยว); 2) ผลกระทบเชิงลบต่อยอดขายไม่ถึง 1% YoY จากการก่อสร้างถนนในย่านราชพฤกษ์ สุขสวัสดิ์ และลำลูกกา ในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล โดย HMPRO คาดว่า SSS ในช่วงที่เหลือของ 4Q66 จะปรับตัวดีขึ้นจากการจัดงาน Super Expo ทุกสาขาในวันที่ 24-28 พ.ย. งาน HomePro Expo ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และงาน HomePro Fair ที่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือน ธ.ค. มาร์จิ้นกว้างขึ้น เราคาดว่า EBIT margin ใน 4Q66 จะกว้างขึ้น YoY โดยเกิดจาก: 1) อัตรากำไรขั้นต้นที่กว้างขึ้น YoY จากการมียอดขายสินค้า private brand ที่ให้มาร์จิ้นสูงเพิ่มมากขึ้น ทั้งร้านโฮมโปรและร้านเมกาโฮม และไม่มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเชิงรุกเหมือนใน 4Q65; 2) อัตราส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/ยอดขายที่ทรงตัว เพราะค่าใช้จ่ายในการขยายสาขาที่สูงขึ้นจะถูกชดเชยโดยต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ลดลง กลยุทธ์การลงทุนและคำแนะนำ เราชอบ HMPRO เนื่องจาก: 1) HMPRO จะเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักจากโครงการ E-refund (ยังไม่ได้สะท้อนในราคาหุ้น); 2) กำไร 4Q66 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี 2566 และ 3) HMPRO จะได้ประโยชน์จากการจัดตั้งกองทุน TESG (SET ESG rating ของ HMPRO อยู่ที่ระดับ “AA”) เรายังคงเรทติ้ง OUTPERFORM สำหรับ HMPRO ด้วยราคาเป้าหมายกลางปี 2567 อ้างอิงวิธี DCF (WACC ที่ 7.1% และการเติบโตระยะยาวที่ 2.5%) ที่ 15 บาท ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงในกำลังซื้อ ต้นทุนที่สูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และนโยบายรัฐบาลใหม่ | |||
ท่านสามารถอ่านและดาวน์โหลดเอกสารได้จาก HMPRO_HighConviction231201_T
|