รัฐบาลวางแผนออกมาตรการลดภาระหนี้ชุดใหม่ ซึ่งธนาคารจะพักชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปีให้กับลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อ SME รายย่อย และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่กลายเป็น NPL โดยแลกกับการลดเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ ลง 0.23% มาตรการนี้จะส่งผลดีต่อคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของมาตรการยังไม่ชัดเจนว่าสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษจะเข้าข่ายหรือไม่ หากเข้าข่าย อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อ TTB KKP และ TISCO เราจะรอการประกาศอย่างเป็นทางการจาก ธปท. ก่อนที่จะสรุปผลกระทบ
มาตรการลดภาระหนี้ชุดใหม่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังเตรียมออกมาตรการลดภาระหนี้ชุดใหม่ ซึ่งกำลังรอการสรุปจาก ธปท. โดยภายใต้มาตรการใหม่นี้ ธนาคารจะพักชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 3 ปีให้กับลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 3 ลบ.) สินเชื่อ SME รายย่อย (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 3 ลบ.) และสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ (วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 800,000 บาท) ที่เป็น NPL ไม่เกิน 1 ปี ณ เดือนตุลาคม 2567 ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนการพักชำระดอกเบี้ย ธนาคารจะสามารถลดเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ ลงครึ่งหนึ่งจาก 0.46% เหลือ 0.23% เพื่อป้องกันปัญหา moral hazard และเพื่อให้การลดหนี้ครัวเรือนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้กู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการพักการชำระดอกเบี้ยจะต้องปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ และงดการกู้ยืมใหม่ในช่วงระยะเวลา 3 ปี โดยผู้กู้ที่มีสิทธิ์ต้องยืนยันกับธนาคารที่ได้รับสินเชื่อเพื่อเข้าร่วมมาตรการ
มุมมองของเรา: เราเชื่อว่ามาตรการเนี้จะส่งผลดีต่อคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคาร อย่างไรก็ตาม รายละเอียดของสินเชื่อที่เข้าเงื่อนไขยังไม่ชัดเจน ตามรายงานข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ สินเชื่อที่เข้าเงื่อนไขไม่ได้มีแค่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ด้วย หากสินเชื่อที่เข้าเงื่อนไขมีเฉพาะ NPL มาตรการนี้จะส่งผลดีต่อธนาคารทั้งหมด โดยคาดว่า BBL จะได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากธนาคารต่างๆ แทบจะไม่มีการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยจาก NPL เลย รายได้ดอกเบี้ยที่ขาดหายไปจาก NPL จึงน่าจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากธนาคารต้องพักชำระดอกเบี้ยสินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) ด้วย จะส่งผลกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยอย่างมีนัยสำคัญ ถ้าสินเชื่อที่เข้าเงื่อนไขมีทั้ง NPL และ SM มาตรการนี้จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ TTB KKP และ TISCO อ้างอิงกับการประเมินของเรา โดยใช้สมมติฐานว่าธนาคารทุกแห่งมี NPL ratio และ SM ratio เท่ากับค่าเฉลี่ยของกลุ่ม อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ 7% และอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อที่ 5% และให้พักดอกเบี้ยสำหรับ NPL และ SM ทั้งหมด ทั้งนี้เราไม่มีข้อมูลวงเงินสินเชื่อและสัดส่วนสินเชื่อ SME รายย่อย
BBL เป็นหุ้นที่เราให้เรทติ้ง OUTPERFORM เพียงตัวเดียวในกลุ่มธนาคาร เรายังคงเลือก BBL เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มธนาคาร เนื่องจาก valuation ถูกที่สุด มีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำที่สุด และมีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการลดภาระหนี้ชุดใหม่มากที่สุด
ความเสี่ยงที่สำคัญ: 1) ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่ทั่วถึง 2) ความเสี่ยงด้าน NIM จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 3) ความเสี่ยงด้าน ESG จากการให้บริการแก่ลูกค้าอย่างเป็นธรรม